"ดุสิตธานี" กางแผนสู้ ศก. ครึ่งปีหลัง หวังพลิกฟื้นรายได้ 20-25% l การตลาดเงินล้าน

คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในปัจจุบันยังค่อนข้างตึงตัว แต่หากยังไม่มีปัจจัยผันผวน ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจเข้ามาเพิ่มเติม ก็คาดว่าการเติบโตของบริษัทฯ ในปีนี้ จะเป็นไปตามเป้าหมาย
คาดการณ์ว่า รายได้รวมจะเติบโตที่ร้อยละ 20-25 หรือคิดเป็นมูลค่า 8,900 - 9,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้ ไม่รวมรายได้จากการส่งมอบงานโครงสร้างพื้นที่อาคารค้าปลีกของโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
โดยแบ่งเป็นการเติบโตของธุรกิจโรงแรม ที่ร้อยละ 20-25 เนื่องจากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว แต่ปีนี้จะเป็นการให้บริการแบบเต็มปี นอกจากนี้มี ธุรกิจอาหาร จะเติบโตร้อยละ 10-15, ธุรกิจการศึกษา ร้อยละ 10-12 และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากตัวเลขฐานที่ต่ำ ปีนี้จะเติบโตมากกว่าเท่าตัว (100%) และปลายปีนี้ จะเริ่มทะยอยโอนในส่วนของธุรกิจที่อยู่อาศัย ที่มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 90 มูลค่า 16,000 ล้านบาท
ธุรกิจที่พักอาศัย ประกอบด้วย ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ยังคงเป็นไปตามแผน
คุณ ศุภจี กล่าวด้วยว่า ปี 2568 นี้จะเป็นปีที่ธุรกิจกลับมา การพลิกฟื้น อีกครั้ง หลังจากเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ระยะ 9 ปี ระหว่างปี 2559 ถึงปี 2568 และลุล่วงมาจนถึงช่วงระยะสุดท้ายของแผนดังกล่าว
โดยปี 2567 ที่ผ่านมา มีรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 74.8 เป็นกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 91.4 แต่เนื่องจากมีภาระดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด 19 ประมาณ 281 ล้านบาท และดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 จำนวนประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงิน 578 ล้านบาท ทำให้ปีที่ผ่านมา ดุสิตธานียังคงขาดทุน อยู่ที่ 237 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยซึ่งจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ และต่อเนื่องถึงปี 2569 จะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่าย ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับธุรกิจโรงแรม ยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับดุสิตธานี ในสัดส่วนร้อยละ 66-67 โดย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ดุสิตธานี บอกว่า ภายใต้ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ยังเป็นปัจจัยน่ากังวลนี้ ต้องพยายามปรับตัวการให้บริการ เน้นทำการตลาดแบบพุ่งเป้า โดยจับตลาดที่เป็นเทรนด์หลักในปัจจุบัน เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาว (Long Stay), การท่องเที่ยวแบบมีวัตถุประสงค์ เช่น บี เลเชอร์ (Bleisure) คือ การเดินทางเชิงธุรกิจผสนกับการพักผ่อน ยังมีการท่องเที่ยวที่เน้นความยั่งยืน รวมไปถึงการสร้างประสบการณ์ต่างๆ ผ่านการจัดกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องที่พัก
การทำการตลาดแบบพุ่งเป้าจะต้องรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร และ เอเจ้นท์ ก็ต้องเป็นกลุ่มที่ทำตลาดเฉพาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้น ๆ โดยเฉพาะ รวมถึงการใช้เครื่องมือ เอไอ ในการออกโปรโมชันให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ต้องมีพันธมิตรในการทำการตลาดรวมกันด้วย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
