โครงการ "คนละครึ่ง 2.0" ยุคนายกรัฐมนตรีอนุทิน ควรหน้าตาเป็นแบบไหน?

ถ้าให้ดีขึ้นกว่าเดิม และ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มาร่วมกันสะท้อนสิ่งที่อยากได้ โค้งสุดท้าย ก่อนแถลงนโยบาย 29 กันยายน 2568
ยุคลุงตู่ VS ยุคอนุทิน
คนละครึ่งเป็นหนึ่งในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ได้รับเสียงต้อนรับดีจากทุกฝ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง ประชาชนรู้สึกว่าได้รับการบรรเทาค่าครองชีพ ใช้เงินงบประมาณไม่มาก
ผลลัพธ์ความสำเร็จ ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ หอการค้า และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า งบประมาณ 238,000 ล้านบาท คนได้รับประโยชน์ 30 ล้านคน กระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ เศรษฐกิจช่วงวิกฤตโควิด SME ร้านค้ารายย่อย และหลังเข้าร่วมโครงการร้านโชห่วยได้ฐานลูกค้าใหม่ 176%
โครงการคนละครึ่ง 2.0 ยุคนายกฯ อนุทิน อยู่ในขั้นพิจารณา ว่ารายละเอียดฉบับ Final เป็นอย่างไร
หนึ่งในประเด็นสำคัญฉบับปรับใหม่ ที่หลายคนชื่นชอบโดยเฉพาะ คนเสียภาษีอย่างเราคือรู้สึกว่า เราได้รับการดูแล ที่พิเศษมากขึ้น
การร่วมจ่าย ที่ให้คนในระบบภาษี ได้รับมากกว่าเป็น 60-40 วงเงินต่อวันอาจปรับเพิ่ม และ อายุคนเข้าร่วมคือตั้งแต่ 16 ปี กับอีกประเด็นที่ยังรอการพิจารณา คือ ร้านค้าเข้าร่วมได้
อีกประเด็นที่ต้องจับตา คือ รอบนี้จะรวมถึงร้านจดทะเบียนนิติบุคคลและแฟรนไชส์อย่าง Modern trade ห้างค้าปลีก และ สินค้า SME ที่เป็นนิติบุคคล หรือไม่?
ถอดบทเรียน คนละครึ่งรอบก่อน
แม้ได้รับเสียงตอบรับดี แต่ก็ยังมีช่องโหว่ มากมายที่ควรปรับปรุง และครอบคลุมทุกคน เนื่องจากคนละครึ่งยุคพลเอกประยุทธ์ คนกลุ่มหลักที่ได้ประโยชน์คือ ประชาชนที่ไม่ถือบัตรสวัสดิการ และร้านค้าโชห่วย แต่ในระบบเศรษฐกิจประเทศไทย ยังมีกลุ่มอื่น ๆ อีกที่ไม่ได้เข้าร่วม ดังนี้
นิติบุคคล ที่จดทะเบียน VAT 7% (modern trade ห้างค้าปลีก) ทั้งจ่ายภาษีจากการขายเข้ารัฐ แต่กลับไม่ได้รับสิทธิในการเข้าร่วม ทั้งที่ร้านค้าปลีกรายใหญ่ ช่วยอุดหนุนสินค้า SME ไทย และ สินค้าจากเกษตกรชุมชน ตั้งแต่ต้นน้ำ ยัน ปลายน้ำ
SME ไทย ใน Modern trade เสียเปรียบด้านการแข่งขัน กว่า 9 แสนราย กว่า 35% ต้องถูกกีดกันโอกาสในการขาย และโอกาสได้ลูกค้าเพิ่มจากส่วนนี้ไป
ปัญหาจากรอบก่อน
สินค้าไม่หลากหลาย ผูกขาดด้านราคา และไม่ได้คุณภาพ แม้ร้านโชห่วย จะเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อต้องเจอกับปริมาณลูกค้าที่หลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก กว่าก่อนที่จะมีโครงการคนละครึ่ง อาจทำให้ร้านค้าบางร้าน เผชิญกับข้อจำกัดเฉพาะตัว บางอย่าง
เช่น ความหลากหลายของสินค้าน้อยและเก่า เนื่องจากบางร้านไม่ได้มีปริมาณการขายมากก่อนช่วงเริ่มโครงการ ทำให้ตัวเลือกในยี่ห้อสินค้ามีข้อจำกัดไม่หลากหลายเท่าห้างค้าปลีก หรือ Modern trade และ บางชิ้นค้างสต็อค
สินค้ามีราคาสูงขึ้นกว่าปกติ มีเงินเพิ่มแต่ซื้อของได้น้อยลง เพราะร้านค้าโชห่วยบางร้าน มักมีการตั้งราคาได้อิสระ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจผู้ซื้อ ซึ่งจากการลงพื้นที่สำรวจการจับจ่ายสินค้าในโครงการคนละครึ่งครั้งก่อน ได้รับเสียงสะท้อนจากประชาชนว่า มีร้านค้ารายย่อยบางส่วน แอบขึ้นราคาสินค้าสูงกว่าปกติจริง ทำให้แม้จะได้รับแจกเงินมาครึ่งหนึ่ง แต่ประชาชนก็ยังต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงกว่าปกติ ส่งผลให้ซื้อสินค้าได้น้อยชิ้น และ ไม่บรรเทาค่าครองชีพได้จริง
เกิดขบวนการทุจริต
ตลอดการดำเนินงาน พบคดีทุจริตกว่า 700 ราย เฉพาะโครงการคนละครึ่งถูกดำเนินคดีอาญา 106 คดี รูปแบบหลักคือการแลกสิทธิเป็นเงินสดและการสร้างบัญชีปลอม รวมถึงต้องใช้เทคโนโลยีทุกขั้นตอน ใช้แอปฯ เป๋าตัง ดังนั้น ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ ร้านค้าที่เข้าไม่ถึงอินเตอร์เนต จะถูกกีดกันออกจากส่วนนี้ไปโดยปริยาย
ดี…แต่ไม่ครอบคลุม
อย่างที่บอกว่าโครงการรอบก่อน เสียหรือไม่เสียภาษี ในนามบุคคล ได้รับประโยชน์เท่ากันคือ ลด 50% และ นิติบุคคลที่เสียภาษี VAT 7% (มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี )
จ่ายภาษีแต่ไม่ได้รับสิทธิในการเข้าร่วม คนละครึ่ง ทั้งที่ในความจริง หากร้านค้านิติบุคคลเหล่านี้เข้ามาอยู่ในโครงการด้วย จะเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ดังนี้
- ประชาชน มีตัวเลือกสถานที่การซื้อสินค้ามากขึ้น
- SME ร้านค้า มีโอกาสเพิ่มยอดขายและเข้าถึงลูกค้าได้เท่าเทียม
- ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ในระบบเศรษฐกิจ แต่กรณีหลายฝ่ายกลัวว่า ร้านใหญ่ ค้าปลีก จะได้เปรียบโชห่วย ก็สามารถกำหนด เงื่อนไขพิเศษ เข้าไปก็ได้ เช่น จำกัดให้ใช้วงเงินซื้อสินค้าได้เฉพาะสินค้า SME ที่ผลิตในประเทศไทย เท่านั้น
สุดท้าย รัฐบาล มีรายได้เพิ่ม มีเงินหมุนเข้าระบบภาษีรัฐถึง 3 ขั้น
ขั้นแรก จากร้านค้า เช่น ประชาชน ซื้อของมูลค่า 200 บาท รัฐออก 100 บาท ประชาชนจ่าย 100 บาท
ร้านในระบบภาษีจะมีการเก็บ VAT 7% เกิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 14 บาท (คิดจาก 200 บาท x 7%) ที่ร้านค้าต้องส่งคืนให้กรมสรรพากร
ขั้น 2 VAT จากร้านค้าซื้อของจากซัพพลายเออร์ เมื่อร้านขายของได้ ต้องนำเงินไปซื้อสินค้าใหม่จากซัพพลายเออร์มาเติมสต็อก ซึ่งซัพพลายเออร์ต้องส่งรายได้ + VAT กลับให้รัฐต่อเช่นกัน กลายเป็นการสร้างรายได้ภาษีอีกชั้นหนึ่งในห่วงโซ่เศรษฐกิจ
ขั้น 3 สิ้นปีรัฐเก็บภาษีนิติบุคคล ทุก ๆ สิ้นปี ร้านค้านำผลประกอบการ มาคำนวณภาษีนิติบุคคล 20% หากมีกำไร รัฐก็จะเก็บภาษีจากส่วนนี้ได้เพิ่มอีก
สรุปแล้วโครงการ คนละครึ่ง 2.0 ควรมีหน้าตาแบบไหน?
- ขยายสิทธิให้ผู้ประกอบการ นิติบุคคล / SME นิติบุคคล เข้าร่วมได้
- ให้ Modern Trade เข้าร่วม แต่มีเงื่อนไข ขายได้เฉพาะสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อช่วย SME ไทย
- ให้สิทธิพิเศษเพิ่มเติมแก่ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี เช่น บุคคลรัฐจ่ายมากกว่า 60:40 และ สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่ม (สำหรับร้านค้า) เพื่อจูงใจร้านค้าและบุคคลให้อยู่ในระบบภาษี
- รองรับระบบ Offline/QR PromptPay สําหรับร้านที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต
หากข้อเสนอเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง รัฐบาลจะสามารถสร้าง “การหมุนเวียนทางภาษี” ที่ทำให้รัฐได้รายได้กลับมาจริง และ ไม่ทิ้งใครให้ตกหล่นจากโครงการ คนละครึ่งครั้งนี้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
