TOP ชี้ผู้รับเหมาหลักชัดQ3/68 บังคับหลักประกันอาจมีเพิ่ม
![TOP ชี้ผู้รับเหมาหลักชัดQ3/68 บังคับหลักประกันอาจมีเพิ่ม](https://cms.dmpcdn.com/contentowner/2020/08/18/15980f10-e133-11ea-8e82-0b494f6be91c_original.jpg)
#TOP #ทันหุ้น - TOP ชี้ ไตรมาส 3/2568 ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนผู้รับเหมาหลักโครงการ CFP หรือไม่ เผยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาหลายซินาริโอ แย้มอาจมีบังคับหลักประกันเพิ่ม ส่วนที่รับมาแล้ว 1.23 หมื่นล้านบาท จะช่วยลดต้นทุนโครงการลง
แหล่งข่าววงใน ระบุว่า จากที่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ได้บังคับหลักประกันภายใต้สัญญาจ้างเหมาทำของการออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC Contract) โครงการพลังงานสะอาด (CFP) ระหว่างบริษัท และ The Consortium of PSS Netherlands B.V. (Offshore Contractor) และ anunincorporated joint venture of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (Onshore Contractor) ตามสัญญา และเพื่อประโยชน์ของบริษัท และผู้ถือหุ้น เป็นจำนวนเงินประมาณ 12,339 ล้านบาท
โดยเงินดังกล่าววิธีการบันทึกจะไม่ได้บันทึกเป็นเป็นรายได้ แต่จะเป็นลักษณะการลดต้นทุนโครงการก่อสร้าง ซึ่งการบังคับหลักประกันนั้นอาจมีเพิ่ม แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการ โดยหากผู้รับเหมาหลักส่งมอบงานไม่ได้ตามกำหนดสัญญา
@ผู้รับเหมาหลักชัด Q3/68
ส่วนจะมีการเปลี่ยนผู้รับเหมาหลักหรือไม่นั้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2568 ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาประเด็นต่างๆ โดยมีหลายทางเลือก แต่ขั้นแรกในขณะนี้คือ ขอให้ผ่านการการอนุมัติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน
อนึ่งก่อนหน้านี้ TOP แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ครั้งที่ 1/2568 ของบริษัท เพื่อเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP จำนวนประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือ 1,776 ล้านดอลลาร์ และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้าง 17,922 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 505 ล้านบาท
โดยเงินลงทุนเพิ่มเติมดังกล่าวจะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้างโครงการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการ เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการและเพิ่มประโยชน์สูงสุดของบริษัท และผู้ถือหุ้น โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง โดยการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นจะจัดขึ้นในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ในรูปแบบการประชุมผ่านอิเล็กทรอนิกส์
@คาดปีนี้กำไร 8.6 พันลบ.
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การเรียกร้องเงินหลักประกันนี้ช่วยลดต้นทุนโครงการ CFP รวมลง 5% หรือจาก 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) ของโครงการเป็นเกือบ 9% จากเดิมที่ 8%และเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุลและกระแสเงินสดในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เงินที่ได้จากการเรียกร้องดังกล่าวไม่น่าจะถูกบันทึกเป็นรายได้อื่นในงบกำไร/ขาดทุนในไตรมาส 1/2568 ดังนั้นจึงยังไม่เห็น Upside ต่อประมาณการกำไรปี 2568 ที่ 8.6 พันล้านบาท ที่ฝ่ายวิจัยคาด
ทั้งนี้ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม 1.ต้นทุนทุนก่อสร้างโครงการสุดท้ายที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ มาจากการประมาณการโดยที่ปรึกษาด้านเทคนิค 2. วันที่โครงการจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งมีผลเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างมูลค่า 1.1พันล้านดอลลาร์ และ 3. ยังมีการรับประกันผลงานก่อสร้างของโครงการอีกหรือไม่ ไม่ว่าจะแล้วเสร็จโดยผู้รับเหมา EPC เดิมหรือผู้รับเหมารายใหม่ หากหน่วยการผลิตใหม่ไม่สามารถบรรลุผลผลิตและ/หรือข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันตามที่ผู้ออกแบบได้ระบุไว้
โดยฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มคำแนะนำเชิงกลยุทธ์เป็น “ซื้อ” และเพิ่มราดาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ขึ้นเป็น 30.10 บาท เนื่องจากราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568ของฝ่ายวิจัยมาจาก -25D หรือ 0.51 เท่า ขอ งP/BV ปี 2568โดยไม่รวมส่วนของเงินสดที่บริษัทได้ลงทุนไปในโครงการ CFP ณ สิ้นปี 2567 (1,620 ล้านดอลลาร์) ดังนั้น การได้รับเงินหลักประกันผลงานดังกล่าวจะช่วยลดเงินสดที่ใช้ไปในโครงการ ซึ่งส่งผลให้ราคาเป้าหมายของฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มขึ้น 2.9 บาท หรือ 11% เป็น 30.10 บาท จากเดิม 27.20 บาท แม้ว่าการพัฒนาโครงการยังมีความเสียงค่อนข้างสูง แต่ปรับเพิ่มคำแนะนำในเชิงกลยุทธ์จาก “ขาย” เป็น “ซื้อ” เนื่องจากมีอัพไซด์ที่เพิ่มขึ้นต่อราคาเป้าหมายใหม่ และความเป็นไปได้ที่โครงการ CFP จะไม่คุ้มค่านั้นลดลง และคาดการณ์ถึงบรรยากาศการซื้อขายหุ้นเชิงบวกจากการได้รับหลักประกันนี้