ภาคตลาดทุนไทยสานพลังเอกชน ปีที่ 2 มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยยั่งยืน

วันนี้ (4 ก.ค.2568) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ,สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ,ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ,สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (THAI LCA) , สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) , สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) , สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.), สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ร่วมกันจัดงาน “สานพลังเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากสู่ความยั่งยืน ปีที่ 2” (The 2ndMultilateral Collaboration for Sustainability : Continuing the Impact)
เพื่อสานพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ รวมถึงเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการการลงทุน เพื่อการพัฒนาชุมชนและสังคมสิทธิประโยชน์จาก BOI เครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันโครงการให้บรรลุเป้าหมาย ภายในงานยังมีการบรรยายและเสวนาเพื่อเรียนรู้แนวทางส่งเสริมพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนผ่านเครื่องมือและมาตรการของรัฐ แลกเปลี่ยนมุมมองจากภาคธุรกิจและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ลงมือปฏิบัติจริง พร้อมถอดบทเรียนจากตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จ โดยมีบูทนิทรรศการจากBOI ภาคเอกชน ผู้ประกอบการเพื่อสังคมและชุมชน ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งส่งเสริมความยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างสมดุลทั้งภาคธุรกิจและสังคม ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ได้เห็นความร่วมมือจากภาครัฐ และภาคเอกชน ประสานพลังความร่วมมือขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ
รวมถึงเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนและสังคม ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงาน BOI ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่าการทำธุรกิจจะมุ่งทำกำไรอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสีย เราจึงมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สร้างความมีส่วนร่วมในการดำเนินงานร่วมกัน ในหลายมิติ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ความยั่งยืนร่วมกันอย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการ “พัฒนาตลาดทุน เพื่อทุกคน”
ศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนไทย มีนโยบายที่มุ่งส่งเสริมการลงทุนเพื่อสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ และผลักดันให้ธุรกิจผนวกแนวคิด ESG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เข้าไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัทเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างสมดุล ทั้งภาคธุรกิจและสังคม โดย 4 เสาหลักแห่งความยั่งยืนที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนประกอบด้วย
(1) บทบาทของชุมชนในฐานะ Innovator ที่สร้างคุณค่าจากทรัพยากรท้องถิ่น (2) การลงทุนใน Social Capital ของภาคเอกชน ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง รวมถึง (3) บทบาทของ ก.ล.ต. ในการส่งเสริมตลาดทุนที่ยั่งยืน (4) ท้ายที่สุดคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วนซึ่งความร่วมมือในวันนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ภาคตลาดทุนและภาคธุรกิจได้ก้าวเข้ามาเชื่อมโยงกับชุมชนและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการประสานพลังขององค์กรเครือข่ายทั้ง 9 หน่วยงานด้วยพลังของทุกฝ่ายนี้จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งสภาพภูมิอากาศและวิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้การขับเคลื่อนแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG (Environmental, Social และ Governance) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเตรียมรับมือและปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแส ESG ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญ คือ
“ความรับผิดชอบต่อสังคมและการช่วยเหลือชุมชน” โดยจะเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินธุรกิจและมาตรฐานใหม่ของความสำเร็จ ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาวแต่ยังสามารถทำประโยชน์เพื่อสังคม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในชุมชนได้อีกด้วย
ที่ผ่านมา BOI ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ทั้งไทยและต่างชาติ ให้เข้ามา
มีบทบาทในการช่วยพัฒนาชุมชนและสังคม ผ่าน “มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม” ที่ BOI ทำมา
อย่างต่อเนื่อง โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอกชน ร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น ในการลงทุนโครงการต่างๆที่จะช่วยเพิ่ม
ขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่ว่า
จะเป็นโครงการพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน การสนับสนุน
ด้านการศึกษา การสาธารณสุข การช่วยลดฝุ่น PM2.5 และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเชื่อว่าการพลังความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพของชุมชน และสร้างความเข้มแข็งของฐานรากของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และอุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนไทยจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชุมชน และสร้างความยั่งยืนให้กับการพัฒนาประเทศ โดยการทำงานร่วมกันระหว่างเอกชนกับชุมชน จะช่วยให้ชุมชนสามารถเข้าถึงตลาด มีที่ปรึกษาในการพัฒนาระบบการผลิต การนำเทคโนโลยีมาใช้การทำ Marketing การทำบรรจุภัณฑ์
การบริหารธุรกิจและการค้าขาย นำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้จะได้ช่วยในการพัฒนาด้านสุขภาพ การศึกษา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวชุมชน โดยบทบาทของภาคเอกชนที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสนับสนุน แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็น ผู้ร่วมสร้าง ตัวจริง ทั้งในมิติของการออกแบบโครงการร่วมกัน (Co-Create) การร่วมลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Co-Finance) และการลงมือทำที่นำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม (Co-Impact)ซึ่งการจัดงานสานพลังฯ ในปีที่ 2 นี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ที่มุ่งสร้างประโยชน์อย่างแท้จริงให้กับชุมชนและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แรงผลักดันจากงานวันนี้จะช่วยต่อยอดความร่วมมือระหว่างเอกชนและชุมชนทั่วไทย ที่จะช่วยขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากให้พัฒนาเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”ดร. กอบศักดิ์กล่าว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
