พีรพันธ์ เสนอปฏิรูปพลังงาน–ขนส่งรัฐ ลดค่าครองชีพทั้งระบบ

บทสัมภาษณ์พิเศษ TNN วันนี้ สนทนากับ พีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่เริ่มเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งอย่างชัดเจน หลังป้ายหาเสียงของพรรคปรากฏตามแนวรถไฟฟ้าและจุดสำคัญในกรุงเทพมหานคร
พีรพันธ์เริ่มต้นบทสนทนาด้วยประสบการณ์การเดินทางในชีวิตประจำวัน โดยเลือกใช้รถไฟฟ้าแทนรถยนต์ส่วนตัว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรช่วงเย็น พร้อมชวนสังคมมองโครงสร้างการขนส่งสาธารณะของไทยในภาพรวม ว่าควรเป็นบริการสาธารณะของรัฐ มากกว่าธุรกิจที่มุ่งสร้างกำไรสูงสุด
แนวคิดดังกล่าวถูกอธิบายผ่านตัวอย่างจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งระบบทางหลวงในหลายรัฐเริ่มต้นจากการเก็บค่าผ่านทางเพื่อคืนทุน เมื่อครบต้นทุนแล้วจึงเปิดให้ประชาชนใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พีรพันธ์มองว่า โมเดลลักษณะนี้สะท้อนหลักการที่โครงสร้างพื้นฐานควรรับใช้ประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นภาระค่าใช้จ่ายระยะยาว
สำหรับประเทศไทย พีรพันธ์เสนอว่า เมื่อสัมปทานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ทางด่วนหรือรถไฟฟ้า สิ้นสุดลง รัฐควรพิจารณาซื้อคืนเพื่อนำกลับมาบริหารเอง และปรับระบบค่าโดยสารให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เน้นบัตรโดยสารใบเดียวที่เดินทางได้ตลอดเส้นทาง ลดความซับซ้อนและลดต้นทุนการเดินทางของประชาชน
แนวคิดดังกล่าวไม่ได้กำหนดตัวเลขราคาตายตัว เช่น 20 หรือ 30 บาท แต่เน้นการคำนวณจากต้นทุนจริง พร้อมตั้งเป้าหมายให้ต่ำที่สุดเท่าที่รัฐสามารถบริหารจัดการได้ เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
อีกหนึ่งแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านการออกพันธบัตรหรือรูปแบบการลงทุนของรัฐ เพื่อให้ประชาชนเป็นทั้งผู้ใช้บริการและผู้ถือผลประโยชน์ รายได้จากระบบขนส่งจะหมุนกลับสู่ประชาชนในรูปเงินปันผล และช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน
พลังงานคือหัวใจของค่าครองชีพ
เมื่อเข้าสู่ประเด็นค่าครองชีพ พีรพันธ์ย้ำว่า ปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ต้นทุนพลังงาน ทั้งน้ำมัน ค่าไฟฟ้า และก๊าซ ซึ่งส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการทุกประเภท
ในประเด็นน้ำมัน พีรพันธ์ระบุว่า ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลสามารถลดลงเหลือไม่เกิน 25 บาทต่อลิตรได้จริง หากมีการปรับโครงสร้างอย่างถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน
แนวทางสำคัญคือ การยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดตั้งระบบน้ำมันสำรองของประเทศขึ้นมาแทน พีรพันธ์ชี้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีน้ำมันสำรองของรัฐอย่างแท้จริง มีเพียงน้ำมันสำรองของภาคเอกชนตามข้อกำหนดด้านความมั่นคง หากรัฐมีคลังน้ำมันสำรองของตนเอง จะสามารถลดต้นทุนที่แฝงอยู่ในราคาน้ำมันได้ทันทีราว 5–6 บาทต่อลิตร
ผลที่ตามมาคือ ราคาน้ำมันภายในประเทศจะไม่ผันผวนตามตลาดโลกแบบวันต่อวัน และช่วยตัดวงจรที่ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนต้องขึ้นลงตามราคาน้ำมันโลก
พีรพันธ์ยืนยันว่า หากได้เป็นรัฐบาลแกนนำ มาตรการดังกล่าวสามารถประกาศใช้ได้ภายใน 30 วัน และประชาชนจะเห็นผลทันที
ค่าไฟต่ำกว่า 3.70 บาท ทำได้โดยไม่ใช้งบรัฐ
ในเรื่องค่าไฟฟ้า พีรพันธ์ยกประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง โดยระบุว่า เคยสามารถตรึงค่าไฟไว้ในระดับประมาณ 4 บาทต่อหน่วย และปรับลดลงได้อย่างต่อเนื่อง
พีรพันธ์อธิบายว่า โครงสร้างค่าไฟฟ้าของไทยผูกกับต้นทุนก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งมีการนำราคาตลาดโลกมาคำนวณค่าเฉลี่ยทุก 4 เดือนผ่านค่า FT หากปรับโครงสร้างก๊าซใหม่ ลดต้นทุนบางส่วนที่ไม่จำเป็น ค่าไฟฟ้ายังสามารถลดลงได้อีกอย่างน้อย 17 สตางค์ต่อหน่วย
เป้าหมายคือ ค่าไฟฟ้าไม่ควรเกิน 3.70 บาทต่อหน่วย และสามารถทำได้โดยไม่ต้องอุดหนุนงบประมาณแผ่นดิน หากใช้การบริหารจัดการข้อมูลและโครงสร้างพลังงานอย่างจริงจัง
ลดพลังงาน คือปลดล็อกเศรษฐกิจ
พีรพันธ์ทิ้งท้ายว่า นโยบายด้านพลังงานและขนส่งไม่ใช่เพียงเรื่องค่าใช้จ่ายรายวัน แต่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจทั้งระบบ เมื่อพลังงานมีราคาถูกลง ต้นทุนการผลิต การขนส่ง และค่าครองชีพของประชาชนก็จะลดลงตามไปด้วย
แนวคิดทั้งหมดถูกยืนยันว่าเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้จริง และไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน หากรัฐมีความตั้งใจและกล้าปรับโครงสร้างอย่างเป็นระบบ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
