แม่ฉีดวัคซีนแล้วให้นมลูกได้ แถมภูมิคุ้มกันต้านโควิด-19 จากน้ำนมแม่
ข่าวดีของคุณแม่!! งานวิจัยอเมริกาชี้ แม่ฉีดวัคซีนแล้วให้นมลูกได้ แถมลูกจะได้รับภูมิคุ้มกันต้านโควิด-19 จากน้ำนมแม่ด้วย
มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ วิทยาเขตเมืองแอมเฮิร์สต์ สหรัฐอเมริกา เผยผลการวิจัย ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร Obstetrics & Gynecology ระบุว่า แม่ลูกอ่อนที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 2 เข็มแล้ว จะถ่ายโอนแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ไปยังทารกที่กินนมได้ด้วย
"งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่ตรวจพบแอนติบอดีต่อเชื้อ SARS-CoV-2 ในตัวอย่างอุจจาระของทารกที่มารดาที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว" นายแพทย์วิเนช นารายานาสวามี หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว
ผลการศึกษาสามารถตอบคำถามให้กับบรรดาแม่ลูกอ่อน ที่ต้องการทราบว่า ลูกน้อยจะมีแอนติบอดีเหล่านี้หรือไม่ และการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีการถ่ายทอดแอนติบอดีผ่านทางน้ำนมแม่
อีกทั้งยังคลายข้อกังวลให้กับคุณแม่ทั้งหลาย ที่พากันวิตกว่า หากฉีดวัคซีนแล้วจะสามารถให้นมบุตรต่อไปได้หรือไม่
“ผลการศึกษาเป็นหลักฐานที่น่าสนใจ และเป็นแรงจูงใจให้สตรีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไปหลังจากได้รับวัคซีน” แคทลีน อาร์เคโร ศาสตราจารย์ด้านพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม (Environment toxicology) กล่าว
การศึกษา ทำกับ แม่ที่ให้นมบุตร 30 คนจากทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่สมัครใจเข้าร่วมในการศึกษา ทั้งหมดได้รับวัคซีนชนิด mRNA ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน 2564 พวกเธอให้ตัวอย่างน้ำนมแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ช่วงก่อนจะรับวัคซีน หลังรับวัคซีนเข็มแรก 3 สัปดาห์ และหลังรับวัคซีนเข็มที่ 2 3 สัปดาห์
จากนั้นทีมวิจัยเก็บจุดเลือดแห้ง (dried blood spot) ของคนเป็นแม่ และตัวอย่างอุจจาระของทารก 21 วันหลังจากแม่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้ว
ในตัวอย่างนมแม่ พบว่ามีแอนติบอดี RBD IgG ซึ่งทำหน้าที่ขัดขวางเชื้อโควิด ซึ่งรวมถึงเหล่าเชื้อกลายพันธุ์ทั้งหลายด้วย
ตรงกันกับ ตัวอย่างอุจจาระของทารก ก็พบ แอนติบอดีต้าน RBD IgG และแอนติบอดีต้าน RBD IgA ในอัตรา 33% และ 30% ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับของแอนติบอดีที่สัมพันธ์ตามผลข้างเคียงจากวัคซีนที่มารดาได้รับ
อย่างไรก็ดี ศ.อาร์เคโร ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า แม้มีข้อเรียกร้องให้สตรีตั้งครรภ์และสตรีที่ต้องให้นมบุตร เข้ารับวัคซีนต้านโควิด แต่กลับไม่มีสตรีกลุ่มนี้ รวมอยู่ในการทดลองทางคลีนิกก่อนมีการอนุมัติใช้วัคซีน
ที่มา: Obstetrics & Gynecology Journal, University of Massachusetts Amhesrt