รีเซต

KLINIQ  กำไรแกร่ง ทำออลไทม์ไฮต่อ

KLINIQ  กำไรแกร่ง ทำออลไทม์ไฮต่อ
ทันหุ้น
16 กันยายน 2568 ( 00:20 )

               บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทาง บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ว่า ทางฝ่ายมีมุมมองบวกต่อบริษัท เบื้องต้นคาดกำไรครึ่งปีหลัง 2568 อยู่ที่ 193 ล้านบาท (+12% YoY, +11% HoH) จากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง หนุนโดย Cash Sales ที่คาดว่าจะทำ All Time High ต่อ และ SSSG ขยายตัว, คาด GPM ขยายตัว

               ทั้งนี้คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E-26E : เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 367 ล้านบาท (+14% YoY) หนุนโดย 1. รายได้รวมโต +12% YoY จากรายได้ที่เติบโตในทุกแบรนด์และขยายสาขา 11 สาขา 2. GPM เพิ่มจากสาขาในปี 2024 พลิกเป็นกำไร และเปิดสาขาน้อยกว่าปีก่อน GPM ไม่ถูกกดดัน (ปี 24 เปิด 20 สาขา)

               โดยเปิดสาขาใน 1Q/25 = 1 สาขา, 2Q/25 = 5 สาขา, 3Q/25 = 4 สาขา และ 4Q/25 = 1 สาขา) สำหรับปี 2026E เราประเมินกำไรสุทธิที่ 427 ล้านบาท (+16% YoY) จากรายได้เติบโต +14% YoY  

               ทางฝ่ายคงราคาเป้าหมาย 33.00 บาทอิง 2026E PER 17.0x เรามองว่า Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันเทรดที่ 2026E PER 15.0x เรายังชอบ KLINIQ จาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ในระยะยาวอุตสาหกรรมด้านความงามยังคงเติบโตต่อเนื่อง  2. จำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และ 3. Valuation น่าสนใจ ยังไม่สะท้อนกำไรปี 2025E-26E ที่เติบโตสูงสุดใหม่

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายวีระศักดิ์  สินทรัพย์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ KLINIQ เผยภาพรวมธุรกิจ 2H/25 เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่มักจะมีผู้ใช้บริการมากกว่าไตรมาสอื่น เนื่องจากลูกค้านิยมทำความสวยความงามก่อนถึงปีใหม่ สำหรับแผนการขยายสาขาใน 2H/25 อยู่ที่ 5 สาขา โดยเปิดใน 3Q/25 ที่ 4 สาขา สำหรับศูนย์ศัลยกรรม รายได้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง มีแผนเพิ่มจำนวนแพทย์เพื่อรองรับความต้องการของศัลยกรรมที่ขยายตัว

ด้านตลาดลูกค้าต่างชาติ ปัจจุบันมีสัดส่วนที่ 15-16% ของฐานลูกค้าทั้งหมด บริษัทตั้งเป้าผลักดันเพิ่มเติมเป็น 20% โดยมองว่าหากมีการลงทุนด้านการตลาดเพื่อเจาะตลาดกลุ่มนี้อย่างจริงจัง คาดเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้บริษัทฯมองว่า ปัจจัยที่จะช่วยหนุนการเติบโตมาจาก 1. ผู้ใช้บริการเริ่มใช้บริการเร็วขึ้นตั้งแต่อายุน้อย เมื่ออายุมากก็มีความต้องการใช้บริการมากขึ้น และ 2. ได้ประโยชน์ทางอ้อมใน 4Q/25E ได้แก่ โครงการ “คนละครึ่ง” โดยมองว่าผู้บริโภคจะได้ลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่น และเหลืองบประมาณมาเสริมความงามเพิ่มขึ้น 

               ขณะที่การแข่งขันอุตสาหกรรมความงามยังมีการแข่งขันสูง แต่ไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าเดิม เพียงแต่ผู้เล่นรายเล็กทยอยออกจากตลาด ด้านเงินบาทแข็งค่ายังไม่กระทบธุรกิจของบริษัท แต่มองว่าในระยะยาว จะเป็นผลดีกับบริษัทเนื่องจากบริษัทเป็นผู้นำเข้าเครื่องมือความงามจากต่างประเทศ  

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง