บลูบิค ปลื้มปี 64 ทำนิวไฮทั้งรายได้และกำไร ปีนี้ดันต่อโต 50%
ข่าววันนี้ นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร กล่าวว่า ปี 2564 ทำรายได้และกำไรเติบโตมากกว่า 50% โดยมีรายได้รวม 303.69 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 66.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 200.53 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 44.29 ล้านบาท ดังนั้น บลูบิคเตรียมเดินหน้าลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อสร้าง Upside ให้รายได้ระยะยาว รวมถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ ซึ่งปี 2564 บริการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี เป็นบริการที่มีสัดส่วนหลักดันรายได้โตอย่างก้าวกระโดด 102% มูลค่า 201 ล้านบาท และกำไรเพิ่มขึ้นถึง 158% คิดเป็น 49 ล้านบาท ส่วนบริการหลักอื่นๆยังโตระดับที่น่าพอใจ อาทิ บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง บริการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ บริการที่ปรึกษาการบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ ผลมาจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจที่เริ่มกลับมาดำเนินงานและกิจกรรมทาง และแผนการตลาดตามแผนที่วางเอาไว้ หลังภาพรวมสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัท ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ OR โดยปี 2564 ORBIT Digital ทำรายได้ 25.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.3 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งกำไร 5.6 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมแบ็กล็อกจาก ORBIT อีกไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2565 เชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับปีก่อน คือ โตไม่ต่ำกว่า 50% ขณะนี้บริษัทมีแบ็กล็อกมากกว่า 385 ล้านบาทแล้ว และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2565 มากกว่า 245 ล้านบาท สำหรับแผนการลงทุนเห็นศักยภาพการเติบโตในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม จึงจัดตั้งบริษัท บลูบิค โกลบอล จำกัด คาดเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 15-20% อีกทั้งจัดตั้ง Bluebik Technology Center ในอินเดีย เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและความรู้ทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ บริษัทคาดว่ายื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI ได้รับการอนุมัติและเริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ในครึ่งปีหลังปีนี้ โดยบริษัทได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปีด้วย
นายพชร กล่าวต่อว่า มองหาโอกาสการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สามารถเสริมศักยภาพการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน และสร้างรายได้ประจำ โดยวางเป้าหมายรายได้จากการควบรวมกิจการครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาทในปีนี้ และเดินหน้าขยายการลงทุนในแผนการควบรวมหรือซื้อกิจการ คาดว่าสามารถปิดดีลในไตรมาส 1-2/2565 เพื่อเข้ามาเสริมแกร่งด้านบริการ และเป็นช่องทางขยายฐานลูกค้าในอนาคต