รีเซต

ปลดล็อค "ไทย" เดินหน้า "Sustainable Finance" ขยายโอกาส สู่มาตรฐานการเงินโลก

ปลดล็อค "ไทย" เดินหน้า "Sustainable Finance" ขยายโอกาส สู่มาตรฐานการเงินโลก
TNN ช่อง16
31 กรกฎาคม 2568 ( 09:12 )
17

GCNT Expo 2025 "รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน" จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ 29-31 กรกฎาคม 2568 โดยงานนี้ได้รวบรวมเวทีเสวนาที่หยิบยกประเด็นที่ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันหลากหลายมิติ โดยหนึ่งเวทีที่ได้รับความสนใจคือ "Capital For Change : Unlocking Sustainable Finance For Global Impact" ที่มีผู้ร่วมเสวนาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ และมากประสบการณ์ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

นำโดยคุณโกวิท อดิเรกสมบัติ ทนายความหุ้นส่วน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด คุณทยากร จตรกุลเดชา ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารหนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คุณสฤณี อาชวานันทกุล กรรมการบริหาร เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) และคุณ Chow Wong Yuen Chief Sustainability Officer : UOB Thailand ร่วงวงเสวนา

โดยในประเด็นแรกมีการหยิบยกเรื่องของความสำคัญในการสร้าง "Sustainable Finance" ที่จะเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนระบบการเงินให้ก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ซึ่งคุณ Chow Wong Yuen ได้กล่าวว่า การสร้าง Sustainable Finance ให้มีความยั่งยืน และได้ผลอย่างแท้จริง จะต้องอาศัยความร่วมมือจาก 3 องค์ประกอบหลักนั่นคือ สถาบันการเงินที่มีความสำคัญในฐานะที่เป็น "Supply" ทางด้านการเงิน และองค์กร ภาคธุรกิจที่ถือว่าเป็น "Demand" รวมถึงรัฐบาล หรือหน่วยงานที่กำกับดูแลระบบการเงิน จะต้องสามารถบูรณาการโครงสร้างร่วมกัน เข้าใจปัญหา และความต้องการของทุกฝ่าย เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ระบบการเงินที่เปลี่ยนไปได้

ในขณะที่คุณทยากร ได้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของก.ล.ต.ต่อ Sustainable Finance มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมตลาดทุนอย่างยั่งยืนใน 6 หัวข้อคือ ผู้ออกตราสารที่จะต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และต้องเปิดเผยข้อมูลเพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวทางในการปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมภายหลังจากการระดมทุน หรือออกตราสารทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ Sustainability ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ส่งเสริมความยั่งยืน การสร้างระบบตรวจสอบเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน การพัฒนา Data Platform ที่เป็นศูนย์รวมข้อมูล การต่อยอดนักลงทุนที่รับผิดชอบต่อความยั่งยืนทั้งนักลงทุนรายย่อย และสถาบัน และสุดท้ายคือความร่วมมือสร้างสรรค์จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับประเทศ และภูมิภาค

ด้านคุณสฤณี ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงบทบาทของภาครัฐ และองค์กรระหว่างประเทศที่เปรียบเสมือน Impact Investor ที่จะช่วยสร้างระบบ Ecosystem ที่ยั่งยืนให้กับระบบการเงิน เพื่อสามารถรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง และถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการลงทุนในเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 3.4 แสนล้านบาท แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ หรือผลตอบแทนให้กับองค์กรเป็นหลัก จึงต้องอาศัยหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการเปลี่ยนถ่ายนวัตกรรม จากธุรกิจที่เป็นสีน้ำตาลเข้าสู่สีเขียวมากขึ้น และที่สำคัญต้องสามารถสร้าง Sustainability ได้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ และไม่สร้างปัญหาอื่นเพิ่มเติม

และปิดท้ายประเด็นแรกด้วยคุณโกวิท ที่กล่าวถึง Adaptation Finance หรือระบบการเงินที่สามารถปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งในปัจจุบันมีน้อยกว่า 3% จากสถาบันการเงินทั่วโลก ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องการ Adaptation Finance เพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่า ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างในระบบการเงินกว่า 3.66 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการพัฒนาทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

และในประเด็นที่สองสำหรับการปลดล็อค หรือก้าวข้ามข้อจำกัดในการผลักดันให้เกิด Sustainable Finance ให้ยั่งยืนในประเทศไทย โดยคุณ Chow Wong Yuen ได้กล่าวว่า เป็นภารกิจที่ต้องทำร่วมกัน ไม่ใช่บทบาทของใครคนใดคนหนึ่ง ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องมีพันธกิจร่วมกัน ในการสร้างคำมั่นสัญญาให้เกิดเป็นรูปธรรมร่วมกัน เช่นการเพิ่มสัดส่วนเงินกู้ หรือการระดมทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่ในปัจจุบันยังมีความต้องการไม่สูงมากนัก จำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูล และผลักดันให้เกิดความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือว่ามีความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะที่คุณโกวิทกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง แต่ในภาพรวมก็ยังมีความต้องการเงินทุนยั่งยืนเพื่อลดปัญหาความยากจน การปรับตัวตามสิ่งแวดล้อม และสร้างธรรมาภิบาลด้านการเงินการคลังอีกเป็นจำนวนมากกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 และมีความต้องการเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่ถือว่ายังน้อยมาก

ด้านคุณทยากร ให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงแนวคิดในการกระจาย Sustainable Finance ไปยังอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้นไม่ใช่เพียงแค่อุตสาหกรรมสีเขียวเพียงเท่านั้น หรือเรียกว่า Transition Finance หรือการเงินเพื่อการเปลี่ยนถ่ายอุตสาหกรรมสีน้ำตาลสู่สีเขียว ซึ่งในอนาคตจะมีการสนับสนุนมากขึ้น

ปิดท้ายด้วยคุณสฤณี ที่ย้ำว่าต้องให้ความสำคัญกับผลลัพธ์เป็นสำคัญ ไม่ใช่แค่ Output แต่ต้องเป็น Outcome ด้วยมาตรฐานตัวชี้วัด และการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี และที่สำคัญคือภาคประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในการร่วมตรวจสอบรายงาน มีกฎหมายที่เข้มข้น ภาครัฐ ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ ร่วมมือกัน ทั้งในเรื่องของการรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน และความเป็นธรรม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง