แค่ 1.5°C ก็ถึงตาย ยุโรปจมวิกฤตโลกร้อน

ปี 2024 ถือเป็นปีที่ยุโรปต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งจากพายุ น้ำท่วม ไฟป่า และคลื่นความร้อน รายงาน “European State of the Climate 2024” จากหน่วยงาน Copernicus ของสหภาพยุโรปร่วมกับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) เปิดเผยว่า ยุโรปเป็นทวีปที่กำลังร้อนเร็วที่สุดในโลก โดยมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ยโลก
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา 45% ของวันในยุโรปมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย และ 12% เป็นวันที่ร้อนที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้ เหตุการณ์สุดขั้วเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 413,000 คน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 335 ราย และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 18,000 ล้านยูโร
ภัยธรรมชาติหลายรูปแบบถาโถมเข้าสู่ยุโรปอย่างไม่หยุดยั้ง เดือนกันยายน พายุ Boris ก่อให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศต่างๆ เช่น เยอรมนี โปแลนด์ ออสเตรีย และอิตาลี ส่วนในสเปน ช่วงปลายเดือนตุลาคมเกิดฝนตกหนักจนนำไปสู่อุทกภัยที่รุนแรงที่สุดแห่งปี มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 232 คนในแคว้นบาเลนเซีย และเกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานเป็นมูลค่ากว่า 16,500 ล้านยูโร
ในเวลาเดียวกัน ไฟป่าในโปรตุเกสเผาทำลายพื้นที่กว่า 110,000 เฮกตาร์ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสี่ของพื้นที่ไฟไหม้ทั้งหมดในยุโรปประจำปี 2024 นอกจากนี้ ธารน้ำแข็งในภูมิภาคสแกนดิเนเวียและสฟาลบาร์ดยังละลายอย่างรวดเร็วและมากที่สุดในประวัติการณ์
คลื่นความร้อนในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ก็ทวีความรุนแรงขึ้น โดยในเดือนกรกฎาคมเกิดคลื่นความร้อนต่อเนื่องยาวนานถึง 13 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลานานที่สุดที่เคยมีมาในภูมิภาคนี้ ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะ “ความเครียดจากความร้อน” และ “คืนร้อนจัด” ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ชี้ว่า หากโลกร้อนขึ้น 1.5°C อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตในยุโรปจากคลื่นความร้อนมากถึง 30,000 คนต่อปี ขณะที่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าขณะนี้โลกกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะร้อนขึ้นถึง 3°C ภายในปี 2100 หากไม่มีมาตรการเร่งด่วน
แม้จะมีการปรับตัวเกิดขึ้นในหลายเมือง เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในปารีส หรือการจัดการน้ำฝนแบบสร้างสรรค์ในเนเธอร์แลนด์ แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างย้ำว่าการปรับตัวเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างจริงจัง การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 45% ของการผลิตไฟฟ้าในยุโรป เป็นกุญแจสำคัญในการหลีกเลี่ยงหายนะที่รออยู่ข้างหน้า
ศาสตราจารย์ Stefan Rahmstorf จากสถาบันวิจัยผลกระทบสภาพภูมิอากาศแห่งพอทสดัมกล่าวว่า ความเสียหายและความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการเลิกใช้พลังงานฟอสซิลโดยเร็วที่สุด ขณะที่ ดร. Friederike Otto นักวิจัยด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมชี้ว่า ยุโรปต้องไม่ถอยหลังจากพันธสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ต้องเร่งเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืนโดยไม่ทิ้งคนจนไว้ข้างหลัง
สุดท้าย แม้ยุโรปจะเริ่มตื่นตัวและพยายามปรับตัว แต่รายงานฉบับนี้เตือนอย่างชัดเจนว่า เวลาไม่อยู่ข้างเราอีกต่อไป “เรากำลังก้าวหน้า แต่ต้องไปให้ไกลขึ้น เร็วขึ้น และต้องไปด้วยกัน” คำกล่าวของ Celeste Saulo เลขาธิการ WMO ยังคงดังก้อง เป็นสัญญาณเตือนให้โลกทั้งใบตื่นตัวและร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อหยุดยั้งวิกฤตโลกร้อน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป