รีเซต

เจาะลึกพิธีเลือกโป๊ป ผู้นำแห่งศรัทธา และความหวัง ในโลกวุ่นวาย

เจาะลึกพิธีเลือกโป๊ป ผู้นำแห่งศรัทธา และความหวัง ในโลกวุ่นวาย
TNN ช่อง16
6 พฤษภาคม 2568 ( 15:59 )
17

ในวันที่ระฆังของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ดังกังวานแผ่วเบากว่าปกติ ทั้งนครรัฐวาติกันดูจะนิ่งงันกว่าทุกวัน ราวกับสรรพเสียงในโลกหยุดฟังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของศาสนจักรคาทอลิก เพราะนี่คือห้วงเวลาแห่ง Sede Vacante หรือช่วงเวลาที่ตำแหน่งของพระสันตะปาปาว่างเปล่าอย่างเป็นทางการ

ทั่วโลกนับพันล้านจึงเงียบงันและภาวนาให้ผู้นำองค์ใหม่ของศาสนจักร เป็นผู้ที่สามารถจุดแสงแห่งศรัทธา ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความสับสน ความไม่แน่นอน และความหวังอันริบหรี่

หนึ่งในผู้ที่เคยมีบทบาทอยู่ในหัวใจของสมณสำนักวาติกันในช่วงเวลาเช่นนี้ก็คือ ดร.ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย อดีตที่ปรึกษาสมณกระทรวงสื่อสารมวลชน สำนักวาติกัน ผู้ซึ่งไม่เพียงแค่ทำหน้าที่ประสานงานกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังเคยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์และลึกลับที่สุดของโลกตะวันตก พิธีกรรมที่เรียกว่า “คอนเคลฟ” (Conclave)

ดร.ชัยณรงค์ อธิบายว่าเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ วาติกันจะเข้าสู่ช่วง Sede Vacante โดยอำนาจบริหารทั้งหมดจะตกอยู่ในมือของคณะพระคาร์ดินัล ทำหน้าที่เสมือน “รัฐบาลรักษาการ” ของศาสนจักร และนั่นคือจุดเริ่มต้นของกระบวนการเตรียมเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่

แต่ “คอนเคลฟ” ไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง ไม่ใช่เพียงการลงคะแนนเสียง หากแต่เป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่โลกภายนอกไม่อาจเข้าไปแตะต้องได้ เป็นช่วงเวลาแห่งการมอบอำนาจให้มนุษย์ฟังเสียงของพระเจ้า ผ่านหัวใจของผู้ที่พร้อมจะฟัง




"คอนเคลฟ" พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์กับควันสีขาวแห่งศรัทธา

พิธีกรรมนี้เกิดขึ้นภายในโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel) สถานที่ที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งความเชื่อและศิลปะอันยิ่งใหญ่ของไมเคิล แองเจโล ซึ่งโอบล้อมทุกสายตาด้วยภาพวาดแห่งการพิพากษาครั้งสุดท้าย ภายใต้หลังคานั้น พระคาร์ดินัลที่มีอายุต่ำกว่า 80 ปี จะเข้าสู่การประชุมลับที่ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์สื่อสารใด ๆ เข้าไป ไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอก ทุกสิ่งถูกปิดกั้นเพื่อให้การตัดสินใจบริสุทธิ์เป็นไปด้วย “จิตสำนึก และพระเจ้าเท่านั้น”

ดร.ชัยณรงค์ เล่าว่าภายในหนึ่งวัน จะมีการลงคะแนนเสียง 2 รอบในช่วงเช้า และ 2 รอบในช่วงบ่าย หากไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงมากกว่าสองในสาม การลงคะแนนจะถือว่าเป็นโมฆะ และบัตรทั้งหมดจะถูกเผา พร้อมผสมสารเคมีที่ทำให้เกิดควันสีดำ สื่อสารต่อประชาชนว่าการเลือกยังไม่เสร็จสิ้น

แต่เมื่อใดที่ปล่องไฟเหนือโบสถ์น้อยซิสทีนปล่อยควัน “สีขาว” ขึ้นสู่ท้องฟ้าวาติกัน เมื่อนั้น โลกจะหยุดหายใจอีกครั้ง… แต่เป็นการหยุดเพื่อเปล่งเสียงแห่งความยินดี “Habemus Papam” หรือ เรามีพระสันตะปาปาองค์ใหม่แล้ว

พระองค์จะเปลี่ยนชุดที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า (ซึ่งเตรียมไว้ทุกขนาด) แล้วกลับเข้าไปยังที่ประชุม เพื่อรับการแสดงความยินดี ก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าชาวโลกที่ระเบียงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ พร้อมกับการประกาศพระนามที่พระองค์เลือกใช้ในการดำรงตำแหน่ง

“ช่วงเวลานั้นคือเสี้ยววินาทีที่สะท้อนอนาคตของศาสนจักร” ดร.ชัยณรงค์กล่าว น้ำเสียงของเขาไม่ต่างจากผู้ที่ยังรู้สึกถึงแรงสะเทือนจากความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นได้ทุกครั้งที่นึกถึง “พระสันตะปาปาทุกองค์ต่างมีบุคลิกของตนเอง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาคือเสาหลักทางศีลธรรมของโลก คือเสียงของความยุติธรรม และรากฐานของสันติภาพที่เกินกว่าขอบเขตของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง”






ทวีปเอเชียเริ่มมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นในการเลือกพระสันตะปาปา แม้จะมีจำนวนพระคาร์ดินัลน้อยกว่ายุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะในช่วงหลัง ที่วาติกันเริ่มหันมาสนใจการเติบโตของคริสตชนในเอเชียและแอฟริกา

โดยประเทศไทย มีตัวแทนสำคัญคือ พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช วัย 75 ปี ซึ่งมีสิทธิออกเสียงในคองเคลฟ และมีประสบการณ์ยาวนานในบทบาทศาสนจักรไทยและระดับภูมิภาค ซึ่งบทบาทของเอเชียในการเลือกตั้งพระสันตะปาปา ยังถือว่ามีโอกาสในการถูกเลือกไม่ต่างจากพระคาร์ดินัลจากทวีปอื่น แต่หากมองที่บทบาทในพระศาสนจักรในสังคมโลก ต้องยอมรับว่าพระคาร์ดินัล หลุยส์ อันโตนิโอ ตาเกรอ (Luis Antonio Tagle) ชาวฟิลิปปินส์ วัย 67 ปี ค่อนข้างมีบทบาทที่โดดเด่น โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งสำคัญในวาติกัน และได้รับการจับตามองมาหลายปี

ท่ามกลางความขัดแย้งของโลกยุคปัจจุบัน ควันสีขาว ที่จะปรากฏขึ้นในขั้นตอนสุดท้ายของการเลือกตั้งพระสันตะปาปา องค์ใหม่ อาจกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของโลก ที่จะได้เห็นพระพักตร์ของพระผู้นำจิตวิญญาณพระองค์ใหม่ 

ซึ่ง ดร.ชัยณรงค์ มั่นใจว่าพระสันตะปาปาไม่ใช่เพียงประมุขแห่งศาสนจักรคาทอลิก แต่คือเสาหลักแห่งศีลธรรมในโลกที่ความชอบธรรมและมนุษยธรรมยังคงถูกท้าทายอยู่ทุกขณะ พระองค์คือเสียงเรียกร้องแห่งความยุติธรรม และเป็นผู้วางรากฐานแห่งสันติภาพในระดับที่เกินกว่าอาณาเขตของศาสนา

“ไม่ว่าท่านใดจะก้าวขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์ต่อไป พระองค์ย่อมต้องสืบทอดหลักการนี้ไว้เป็นหัวใจ การจะดำเนินตามแนวทางไหน ใช้วิธีการอย่างไร นั่นคือสิ่งที่แตกต่างกันไปตามบุคลิกและบริบทของแต่ละบุคคล แต่แก่นกลางยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง