"อนุทิน" เปิดการมองเห็น พาประเทศไทย กลับสู่สายตาโลก "ศุภจี" การันตีนานาชาติต่อแถวลงทุนค้าขายไทย

รัฐบาลปลื้มใจ ประเทศไทย กลับสู่จอเรดาร์โลก นานาชาติต่อแถวลงทุน-ค้าขาย หลังไปประชุมอาเซียนและเอเปค
นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงหลังจากเดินทางกลับ การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
โดยผู้นำของไทยระบุว่า ถือเป็นภารกิจสำคัญที่สื่อสารต่อประชาคมโลกว่า “ประเทศไทยพร้อมกลับมามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศอีกครั้ง” เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทย นายกรัฐมนตรีได้เข้าพบผู้นำเกือบทุกประเทศทั้งในอาเซียนและเอเปค รวมถึงหารือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และภาคเอกชนระดับโลก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าประเทศไทยกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางที่มั่นคงและน่าสนใจสำหรับการลงทุนอีกครั้ง
นายอนุทินแถลงต่อสื่อมวลชนหลังกลับจากภารกิจว่า การประชุมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเวทีหารือเชิงนโยบายเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณของการ “กลับมา” ของประเทศไทยในเวทีโลกอย่างแท้จริง จากการที่ประเทศเริ่มได้รับความสนใจจากมหาอำนาจและประเทศคู่ค้าสำคัญอีกครั้ง
เปิดรายละเอียด "รัฐบาลไทย" ได้อะไรกลับมาจากการประชุม "อาเซียน" และ "เอเปค" บ้าง ?
นายอนุทินระบุว่า จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือ “การเปิดตลาดให้กับประเทศไทย” เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการค้า แรงงาน การศึกษา หรือการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้สินค้าเกษตรไทยมีราคาดีขึ้นในตลาดโลก และเปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติขยายฐานการผลิตในไทย และจะใช้โอกาสจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank – IMF Annual Meetings ที่กรุงเทพฯ ในปี 2569 เพื่อดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลกเข้าสู่ประเทศ
นอกจากการเจรจาด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังมีประเด็นแรงงานไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ ซึ่งมีแรงงานไทยจำนวนมากไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ เขาได้เจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้เพื่อขอเพิ่มโควตาแรงงานไทยที่ถูกกฎหมาย และขอให้แรงงานไทยได้รับการคุ้มครองตามสิทธิและศักดิ์ศรีที่พึงมี ผู้นำเกาหลีใต้ได้ตอบรับในทางบวกและยืนยันว่าปัญหาการปฏิเสธนักท่องเที่ยวไทยเข้าประเทศเกิดจากความเข้าใจผิดในการกรอกข้อมูลวีซ่า ซึ่งจะมีการปรับปรุงให้ชัดเจนขึ้น
ในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ไทยได้หารือกับผู้นำหลายประเทศ เช่น แคนาดา มาเลเซีย และบรูไน เพื่อขยายตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า โดยกับแคนาดาได้พูดคุยถึงความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่ง และการเป็นฮับด้านความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากแคนาดาให้ความสนใจในอาหารและพืชผลจากไทยที่ไม่สามารถผลิตได้เองในประเทศ ขณะที่กับมาเลเซียและบรูไนมีข้อตกลงร่วมกันในการทบทวนความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อส่งเสริมการค้าอาหารฮาลาล การเกษตร และการท่องเที่ยว ซึ่งบรูไนยังแสดงความสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิต
นอกจากนี้อีกหนึ่งเรื่องที่คนจับตา คือ ความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก (Rare Earth) ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก เขาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรในเอเปค เพื่อพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ โดยยืนยันว่าทุกอย่างจะดำเนินการภายใต้กฎหมายไทยอย่างเข้มงวด ไม่ใช่การขายสัมปทานหรือการขุดแร่โดยตรง แต่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านเทคโนโลยีและการแปรรูปในประเทศ
ในมิติภูมิรัฐศาสตร์ นายอนุทินกล่าวว่าประเทศไทยมีบทบาทเชื่อมโยงระหว่างมหาอำนาจโลกได้อย่างสมดุล ไทยได้พบหารือแบบทวิภาคีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งผลการหารือต่างเป็นไปด้วยดี ไทยยังคงรักษาความสัมพันธ์เชิงบวกกับทั้งสองประเทศ พร้อมขยายความร่วมมือกับแคนาดา เม็กซิโก ชิลี และเปรู รวมถึงปาปัวนิวกินี ซึ่งเตรียมเปิดสถานทูตในประเทศไทยในเดือนหน้า
ในการพบกับผู้นำจีน มีการลงนามข้อตกลง “อาเซียน–จีน 3.0” เพื่อยืนยันว่าไทยจะไม่เปิดคาสิโนหรือทำให้การพนันเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกังวลของจีนต่อประเทศในภูมิภาค ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แสดงความพอใจและยืนยันว่าจีนจะไม่แทรกแซงนโยบายภายในของไทย พร้อมสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางกลับมาเยือนไทยอีกครั้ง ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดทางนโยบายและสร้างความเชื่อมั่นใหม่ในความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ครบรอบ 50 ปีในปีหน้า
"ศุภจี" เผยหลายชาติจ่อคิวรอเจรจาการค้าการลงทุนกับไทย
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าการประชุมอาเซียน และเอเปคในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่รวดเร็ว ทุกประเทศกำลังแสวงหาพันธมิตรทางเศรษฐกิจใหม่และสร้างห่วงโซ่อุปทานของตนเอง รัฐบาลไทยจึงใช้โอกาสนี้ในการยกระดับบทบาทของประเทศจากผู้ส่งออกสินค้าเกษตรต้นน้ำ ไปสู่ “ผู้ผลิตอาหารระดับโลก” หรือ Food Security Hub ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในเวทีเอเปคและอาเซียน เพราะทุกประเทศต้องการความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาว
กระทรวงพาณิชย์ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีจาก 5 ประเทศ เพื่อขยายตลาดสินค้าเกษตรแปรรูปและสินค้าเทคโนโลยีทางการเกษตร ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้นำ 12 ประเทศ และอีก 3 องค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารโลก IMF และองค์การการค้าโลก ซึ่งต่างเห็นพ้องว่าประเทศไทยมีศักยภาพจะเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาค
อีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญคือ ไทยได้รับบทบาทเป็นประธานในการผลักดันกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement – DEFA) ซึ่งจะเป็นข้อตกลงแรกของโลกที่เชื่อมโยงการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน การจัดทำกรอบดังกล่าวจะยกระดับภูมิภาคให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของโลก และจะทำให้ประเทศไทยโดดเด่นในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศอีกครั้ง โดยมีกำหนดหารือสรุปในเดือนเมษายน 2569
ทั้งนี้การประชุมอาเซียนในปีนี้ให้ความสำคัญกับสองแนวคิดหลักคือ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (Inclusivity) และความยั่งยืน (Sustainability) ส่วนการประชุมเอเปคมุ่งเน้นสามหัวข้อ คือ ความเชื่อมโยง (Connect) นวัตกรรม (Innovation) และความเจริญมั่งคั่งร่วมกัน (Prosperity) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ “Quick Big Win” ของรัฐบาลไทย ที่มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ควบคู่กับการวางรากฐานระยะยาว และกระจายโอกาสสู่ทุกภาคส่วน
ภายหลังการประชุมดังกล่าว หลายประเทศได้ต่อคิวขอเจรจาทวิภาคีเพิ่มเติมกับไทย ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งสะท้อนว่าไทยกลับมาเป็นที่จับตามองของนานาชาติอีกครั้งในฐานะประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองและศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
