TUส่งซิกเข้าโหมดไฮซีซันQ2 ลุยโปรดักต์ใหม่อัพพอร์ตโต

#TU #ทันหุ้น - TU รับอานิสงส์เข้าช่วงไฮซีซัน หนุน Q2/2568 ฟอร์มแจ่ม พร้อมวางหมากรายได้ปี 2568 โต 1-3% จากปีก่อน รับพอร์ตลูกค้าขยายตัว แถมหั่นงบลงทุนเหลือ 3-3.5 พันล้านบาท หวังเซฟกระแสเงินสดรองรับความเสี่ยงในอนาคต
นางสาวภิญญดา แสงศักดาหาญ Head of Investor Relations บริษัท ไทยยูเนียน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลงานในไตรมาส 2/2568 น่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 1/2568 เพราะเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูกาลขาย (ไฮซีซัน) ส่งผลให้ความต้องสินค้าในกลุ่มต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ประมาณการรายได้ในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะเติบโต 1-3% จากปีก่อน (รวมผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโตของประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว) โดยธุรกิจคงจะมีการแนวทางทำตลาดในกลุ่มต่างๆ ทั้งอาหารแช่แข็ง, อาหารสัตว์เลี้ยง ฯลฯ เพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการขยายตัวมากขึ้น หลังมีการทำตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริษัทยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรับงบลงทุน
ส่วนงบลงทุนปี 2568 นั้นทาง TU ได้ปรับให้ลดลงเหลือราว 3.0-3.5 พันล้านบาท จากเดิมที่วางไว้ประมาณ 4.5-5.0 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้รองรับการขยายคลังสินค้าระบบจัดเก็บและค้นหาอัตโนมัติ(ASRS) ของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ (แต่ให้มีขนาดเล็กลง) และที่เหลือใช้ปรับปรุงอื่นๆ หวังเสริมศักยภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการปรับลดครั้งนี้เพราะต้องการรักษากระแสเงินสดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รองรับความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารของโลก จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices : DJSI) ประจำปี 2567 ด้วยคะแนนรวมสูงสุด 85 คะแนน นับตั้งแต่ปี 2561 เราได้รับการจัดอันดับ1 ถึง 4 ครั้ง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ
ขณะเดียวกันทาง บริษัท ไทยยูเนียน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ยังได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ให้เป็นหนึ่งใน “หุ้นยั่งยืนSET ESG Ratings” ระดับ A ประจำปี 2567 ในกลุ่ม Agro & Food Industry อีกด้วย
แกร่งอนาคต 17.20 บ.
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่าแม้ปี 2568 บริษัทเจอกับภาษี Global Minimum Tax และ U.S. Tariff เป็นปัจจัยลบและอาจส่งผลต่อไปในระยะยาว แต่ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่าบริษัทยังคงสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอิสระได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมการลดต้นทุนจากโปรเจ็กต์ Transformation ที่คาดว่าจะทยอยรับรู้ในปี 2568ถึง 2570
อีกทั้งการบริหารเงินสด ซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ EPS และ ROE สูงขึ้น เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568บริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติมจากเดิม 200 ล้านหุ้น วงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท มาเป็น 445 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.99% จากจำนวนหุ้นทั้งหมด ที่วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท โดยใช้ที่มาของเงินทุนจากเงินสดจากการดำเนินงาน เงินปันผลรับ และรับคืนเงินกู้ยืมจากบริษัทย่อย ทำให้คาดการณ์ EPS’68 เพิ่มมาอยู่ที่ 1.06 บาทต่อหุ้น +4.6% จากคาดการณ์เดิม ทั้งนี้เริ่มดำเนินการซื้อหุ้นคืนแล้วตั้งแต่ 2มกราคม 2568 ถึง 30 มิถุนายน 2568 ปัจจุบันซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 229.48 ล้านหุ้น คิดเป็น5.15% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ผู้บริหารเผยการซื้อหุ้นคืนไม่ใช่เพื่อดันราคาหุ้นแต่เพื่อการบริหารเงินสดและพยุงราคาหุ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ดี TU เป็นหุ้น Defensive ที่อาจไม่ได้เติบโตสูง แต่มั่นคงทั้งในแง่ของ Business Competitive และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เป็นบวกต่อเนื่อง ปรับราคาพื้นฐานสำหรับปี 2568 ขึ้นจาก 16.50 บาท เป็น 17.20 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” TU ราคาเป้าหมาย 15.60 บาท เนื่องจาก TU จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เงินปันผลรับ และการรับคืนเงินกู้ยืมจากบริษัทย่อยในครึ่งแรกของปี 2568 รวมราว 8,500 ล้านบาท โดยไม่มีหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน จึงมีเงินสดคงเหลือเพียงพอที่จะนำมาใช้ซื้อในโครงการหุ้นคืน นอกเหนือจากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ราคาหุ้น TU ที่อ่อนตัวในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว คาดว่าอัตราจ่ายปันผลปี 2568 ราว 6.3% จึงยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2568 ที่ 4,743 ล้านบาท รวมทั้งมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน