เอกชนชงขนส่งทางเรือหนุนการค้า -ดิจิทัลช่วย

รายงานข่าวจาก สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ภาพรวมการเปิด-ปิดธุรกิจโลจิสติกส์ เดือนก.ย. 2568 ที่มีธุรกิจสะสมรวม 47,075 ราย ในเดือนก.ย. มีธุรกิจเปิดใหม่ 338 ราย แต่มีธุรกิจปิดกิจการ 79 ราย สาเหตุหลักของธุรกิจที่ปิดกิจการส่วนใหญ่มาจากปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
สำหรับภาคการขนส่งที่มีบทบาทสูงสุดคือการขนส่งทางเรือ ซึ่งมี สัดส่วน 56.8% มูลค่าการค้ารวม 1,120,692.18 ล้านบาท การเติบโต 3.3% (YoY) โดยแนวโน้มการขนส่งทางเรือจะมีอัตราขยายตัวอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากสินค้าคงคลังของผู้นำเข้าสำคัญของโลก คือ สหรัฐเริ่มลดลง หลังจากเร่งนำเข้าสินค้าไปก่อนหน้านี้ เพื่อเลี่ยงภาษีตอบแทนของสหรัฐ แต่ปลายปีจะเป็นช่วงเทศกาลซึ่งมีการใช้จ่ายและความต้องการสินค้าสูงด้วยทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือจะยังคงคึกคักต่อไป นอกจากนี้ แนวโน้มค่าระวางเรือของเส้นทางที่ไปสู่ท่าทางตะวันตก ของสหรัฐ ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ถึง 30% ในเดือน ก.ย. 2568 ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และเป็น โอกาสในการขนส่งสินค้าทางเรือ
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ได้เข้าพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่ออำนวยความสะดวกการส่งออกไทย
โดย สรท. ได้ชูประเด็นเร่งด่วนสำคัญ 3 ด้าน มุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเชิงโครงสร้าง เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออกไทย ประกอบด้วย
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน : โดยเฉพาะปัญหาความแออัดในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือสำคัญต่อการส่งออกของประเทศ รวมถึงการเร่งรัดประเด็นด้านสัญญาสัมปทานไอซีดีลาดกระบัง และการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางราง ไปยังโครงการ Single Rail Transport Operator (SRTO) ในท่าเรือแหลมฉบัง ให้มากที่สุดเพื่อลดปัญหาจราจรแออัดในท่าเรือแหลมฉบัง
2. ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ: เห็นพ้องการผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อปลดล็อก “การถ่ายลำตู้สินค้าคอนเทนเนอร์” ในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งคาดว่าสามารถลดต้นทุนส่งออกได้ปีละราว 1,000 ล้านบาท จากที่เสียเปรียบด้านต้นทุนให้คู่แข่งทางการค้ามาโดยตลอดในแง่ของต้นทุนค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์ที่สูงกว่าจากการใช้เรือ Feeder ผ่านการเร่งรัดผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายลำ 6 ฉบับแรก จากทั้งหมด 17 ฉบับ
3. ด้านการพัฒนาดิจิทัล โดยคมนาคมมีการเร่งรัดการพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) ให้แล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานโดยเร็ว และเชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการคิวรถบรรทุก (Truck Queue) เพื่อให้ลดข้อจำกัดในการขนส่งสินค้าภายในท่าเรือแหลมฉบัง อันเปรียบเสมือนประตูหลักสู่การค้าโลกของประเทศไทย