สำรวจอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ในวาระครบขวบปีรัฐบาลพลเรือน พปชร. ชงใช้ “เปรมโมเดล” ปรับ ครม. “ประยุทธ์ 2/2”
รัฐบาลผสมภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เข้าบริหารประเทศครบขวบปีในเดือน ก.ค. นี้ แม้มีสารพัดปัญหาการเมืองรบกวนจิตใจชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุครัฐบาลหลังรัฐประหารปี 2557 แต่ผู้นำคนที่ 29 ก็ใช้ "คุณสมบัติพิเศษ" และ "ลีลาเฉพาะตัว" ประคับประคองตัวมาได้จนถึงปัจจุบัน
10 ก.ค. 2562 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) "ประยุทธ์ 2/1" จำนวน 36 คน
หนึ่งปีผ่านไป มีรัฐมนตรี (รมต.) 4 คนที่เคยเป็นแกนนำพรรคได้บอกลาต้นสังกัดและนับถอยหลังรอวันลุกจากเก้าอี้ รมต. โดย 1 คนต้องจบด้วยชีวิตทางการเมืองด้วยข้อครหา "ไม่ผ่านโปรฯ" ส่วนอีก 3 คนถูก "ยึดอำนาจ" ภายในพรรคที่ร่วมสร้างมากับมือ
- กลุ่ม "4 กุมาร" ลาออกจากสมาชิก พปชร. แต่ยังไม่ทิ้งเก้าอี้ รมต. ไม่คิดตั้งพรรคใหม่
- พล.อ.ประวิตรนั่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ ทำภารกิจ "สลายมุ้งการเมือง" เป็น "ศูนย์รวมจิตใจ" สมาชิก พปชร.
- สุเทพ ฟันธงรัฐบาลอยู่ครบเทอม ยังไม่ดัน เอนก นั่งหัวหน้าพรรคคนใหม่
เก้าอี้ ครม. = "สมบัติของพรรค"?
ความชุลมุนในการบริหารจัดการคนของ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดขึ้นทันทีที่เขาไร้ "อำนาจพิเศษ" สะท้อนผ่านการจัดโผ ครม. ภายหลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ซึ่งนายกฯ ไม่มี "อำนาจเต็ม" ในการเฟ้นผู้ร่วมวงฝ่ายบริหาร แต่เป็นสิทธิขาดของพรรคร่วมรัฐบาลในการจัดคนลงตำแหน่ง
รัฐบาล "ประยุทธ์ 2" เกิดขึ้นได้ด้วยการดึงเอาพรรคการเมืองถึง 19 พรรคมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลขั้นต้น 254 เสียง ทว่ามีเพียง 6 พรรคที่ได้รับการจัดสรรโควต้า รมต. ให้ ด้วยสัดส่วน 3-7 ส.ส. ต่อ 1 เก้าอี้ รมต.
ขณะที่พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มี รมต. 17 คน 18 ตำแหน่ง (รวมนายกฯ ควบ รมว.กลาโหม) ในจำนวนนี้มีอยู่ 6 คนที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่รัฐบาล "ประยุทธ์ 1" ไม่ได้สังกัด พปชร. แต่กินโควต้า พปชร. อยู่ ประกอบด้วย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ขณะนั้นยังไม่เป็นสมาชิกพรรค), นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, นายวิษณุ เครืองาม, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา นายดอน ปรมัตถ์วินัย และ พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล จึงเหลือเก้าอี้เสนาบดีเพียง 11 ตัวสำหรับเกลี่ย-เฉลี่ยให้บรรดา "นักเลือกตั้งอาชีพ" ด้วยสัดส่วน 11 ส.ส. ต่อ 1 เก้าอี้ รมต. ซึ่งไม่เพียงพอต่อคนใน พปชร.
1 ใน 3 แกนนำกลุ่ม "สามมิตร" อย่างนายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท ต้อง "อกหัก" กับโผ ครม. "ประยุทธ์ 2/1" จึงนัด ส.ส. ร่วมก๊วนกว่า 30 ชีวิตมาแสดงพลัง ทว่าไม่อาจกดดันผู้นำสูงสุของรัฐบาลได้
"การบริหารบุคลากรเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือทำอย่างไรประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในรัฐบาล..." พล.อ.ประยุทธ์ร่อนสารนายกรัฐมนตรีเมื่อ 1 ก.ค. 2562 เพื่อหย่า "ศึกใน" พรรคที่นำเสนอชื่อของเขาเป็นนายกฯ ในบัญชี
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้เกิดภาพคนการเมืองขั้วรัฐบาลรวมกลุ่มกันต่อรอง-จองเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ทว่าความเคลื่อนไหวที่คึกโครมที่สุด หนีไม่พ้น ปฏิบัติการ "ยึดพรรค ก่อนยึดเก้าอี้ รมต." เมื่อ กก.บห.พปชร. จำนวน 18 จากทั้งหมด 34 คนพร้อมใจกันลาออกจากตำแหน่งเมื่อ 1 มิ.ย. 2563 ส่งผลให้นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้า พปชร. จากกลุ่ม "สี่กุมาร" ต้องพ้นจากสถานะฝ่ายบริหารของพรรคโดยปริยาย
2 สัปดาห์หลัง พล.อ.ประวิตร ผงาดขึ้นเป็น "ศูนย์กลางอำนาจใหม่" ภายใน พปชร. นักการเมืองกลุ่มสี่กุมารก็ประกาศยุติบทบาททางการเมืองในฐานะสมาชิกพรรคเมื่อ 9 ก.ค. 2563 แต่ยังไม่ลาออกจาก ครม. เป็นผลให้เพื่อนร่วมพรรคออกมาทวงคืนเก้าอี้ รมต. ที่พวกเขายึดครองอยู่ทันควัน โดยให้เหตุผลว่าเป็น "สมบัติของพรรค"
"ทั้ง 3 ท่าน วันนี้ยังนั่งเก้าอี้ รมต. ในโควตาของ พปชร. เมื่อลาออกจากพรรคแล้วก็ควรคืนตำแหน่งนี้กลับมาให้เป็นสมบัติของพรรค ไม่ใช่ยังกั๊กตำแหน่งอยู่เช่นนี้ เพราะถือว่าพวกท่านไม่มีสิทธิแล้ว" นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. กลุ่มสามมิตร กล่าว
โยนหินถามทางใช้ "เปรมโมเดล" ตัดโควตา ครม. เศรษฐกิจให้นายกฯ
ไม่ใช่เพียงกลุ่มสี่กุมารที่ยากจะมีที่ยืนต่อในรัฐบาล เพราะแม้แต่ รมต. ที่อยู่ในโควต้า "ลุงตู่ขอมา" ก็อยู่ในภาวะ "ถูกทบทวน" สถานภาพทางการเมือง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าเป็นไปตาม "กลไกทางการเมือง"
"สัดส่วน รมต. ก็ต้องฟังจากพรรคเป็นหลัก การจะนำคนนอกเข้ามาก็เป็นโควต้าของเขา ซึ่งผมก็ขอเขามา และเขาก็ให้ผมเข้ามาตรงนี้... เมื่อเอาเขาเข้ามาแล้ว จำเป็นจะต้องคืนเขาหรือเปล่า ต้องคืนเขาบ้างไหม จะมีคนนอกเข้ามาได้ตรงไหน ก็ต้องไปคุยกันอีก เพราะผ่านมา 1 ปีแล้วก็ต้องคุยกันใหม่" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ในการปรับ ครม. "ประยุทธ์ 2/2" ผู้นำรัฐบาลระบุว่าจะ "ปรับเท่าที่จำเป็น" และขู่ว่า "คนวิ่งมาก ๆ อาจจะไม่ได้เป็น"
ล่าสุด นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้า พปชร. ผู้เป็นหัวหอกใน "ปฏิบัติการพลิกขั้วอำนาจภายใน พปชร." ได้ออกมาเผย "สูตรใหม่" ในการจัดโผ ครม. โดยใช้รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกฯ คนที่ 16 เป็นต้นแบบ
"ในการปรับ ครม. นายกฯ ต้องแสดงความสามารถอีกครั้งในการตั้ง ครม. โดยใช้เรื่องโควิด-19 จัดให้มีโควต้ากลางลุยเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนที่เหลือค่อยแบ่งให้พรรคร่วมรัฐบาลไปจัดสรรกัน ถ้านายกฯ จัดอย่างนี้ มันก็จะไปได้ ท่านก็จะสามารถตั้งคนได้เต็มที่ โดยไม่ถูกกดดันจากพรรคต้นสังกัดที่ไปเอาโควตาของเขามา นี่คือโมเดลของป๋าเปรม" นายไพบูลย์กล่าวกับบีบีซีไทย
ส.ส.รายนี้ตั้งคำถามด้วยว่า ในเมื่อโควิด-19 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แล้วทำไม พปชร. ต้องแบกอยู่พรรคเดียว เพราะ รมต. ที่นายกฯ เลือกอาจไม่ได้ตั้งจากคนของ พปชร. ด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องของประเทศชาติแท้ ๆ จึงเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเข้าใจ
ปัจจุบัน 2 พรรคขนาดกลางได้ร่วมคุมกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ดูแลกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
อย่างไรก็ตามเสียงของ ภท. ได้เพิ่มจาก "พรรคครี่งร้อย" สู่การเป็น "พรรค 61 เสียง" แต่ถึงกระนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้า ภท. ระบุว่า "ยังไม่ได้รับสัญญาณใด ๆ จากนายกฯ" หลังถูกถามถึงความเป็นไปได้ในการเพิ่มโควต้า รมต. ในส่วนของพรรค
"กำนันยังสนับสนุนผมอยู่ไหม"
ส่วนอีกพรรคร่วมรัฐบาลที่มีส่วนเร่งเกมปรับ ครม. หนีไม่พ้น พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เมื่อ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน ยื่นใบลาออกจากการเป็นหัวหน้าและสมาชิกพรรคเมื่อ 16 มิ.ย. 2563 หลังเกิดข้อขัดแย้งทางความคิดและการบริหารจัดการเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนมี "มือที่มองไม่เห็น" ชิงปล่อยข่าวผ่านสื่อว่า กก.บห.รปช. ประเมินผลการทำงานของ รมว.แรงงาน แล้ว "ไม่ผ่านโปรฯ"
"ผมเพิ่งทำงานมา 1 ปี จะบอกว่าผมไม่ผ่านโปรได้อย่างไร" ม.ร.ว.จัตุมงคลตั้งข้อสังเกตผ่านกับสื่อมวลชน
ว่ากันว่าก่อนนาทีตัดสินใจตัดขาด "พรรคพสกนิกร" จะมาถึง หม่อมเต่าได้จับเข่าคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้ง รปช. และผู้ชักชวนให้ราชสกุลผู้นี้เข้ามาทำงานการเมือง ก่อนรู้ตัวว่าถูกลอยแพแน่แล้ว
- ม.ร.ว.จัตุมงคล : กำนันยังสนับสนุนผมอยู่ไหม
- นายสุเทพ : ผมยังสนับสนุนให้ท่านเป็น รมต. จนกว่าจะมีการปรับ ครม. แต่ในส่วนของพรรค คงต้องปรับเปลี่ยนให้คนอื่นเข้ามาดูแลแทน
ผลจากการทิ้งเก้าอี้หัวหน้าพรรคของ ม.ร.ว.จัตุมงคล ทำให้ รปช. รีบทำหนังสือถึงนายกฯ ส่งชื่อนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เข้าไปเป็น "รมต. ลอย" เพื่อ "ตีตราจองเก้าอี้" เอาไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับโควต้าพรรค
แม้สัดส่วนเสียงในสภาของพรรคร่วมรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงไป แต่นายสุเทพ "ไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง" กับเก้าอี้ รมต. ของ "พรรค 5 เสียง"
อย่างไรก็ตามยังมีพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ต่อคิวรอสัมผัสเก้าอี้ รมต. อยู่ ไม่ว่าจะเป็น พรรคพลังท้องถิ่นไทยซึ่งทำตัวเป็น "พรรคเด็กดี" และมีที่นั่งในสภา 5 เสียงเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี "พรรคจิ๋ว" หรือพรรคที่หิ้ว ส.ส. เข้าสภาได้ 1 คนจากการปัดเศษทศนิยมที่ไปเกาะกลุ่มกัน ก่อนกล่าวอ้างว่ามี 7 เสียงสนับสนุนให้นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ขยับชั้นเป็น รมต.
ขณะนี้บทหนักจึงตกอยู่กับ "พรรค 4 เสียง" อย่างพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ว่าจะสามารถรักษาเก้าอี้ รมต. เอาไว้ได้หรือไม่
จบปัญหา "รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" แต่ยังเกิดเหตุ "สภาล่ม"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคะแนนเสียงในสภามีความสำคัญต่ออนาคตของ "รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" เนื่องจาก พปชร. ซึ่งเป็น "พรรคอันดับ 2" ในสภาได้สร้าง "ธรรมเนียมใหม่ทางการเมือง" โดยอ้างคะแนนเสียงมหาชนสูงสุด 8.4 ล้านเสียง จัดรัฐบาลแข่งกับ "พรรคอันดับ 1" อย่างพรรคเพื่อไทย (พท.) จนสามารถตั้งรัฐบาล 254 เสียงได้สำเร็จ มีคะแนนเสียงทิ้งห่างจากฝ่ายค้านเพียง 8 เสียง
ปรากฏการณ์ต่อเนื่องหลังการตั้งรัฐบาลคือ การเดินสาย "แจกกล้วย" ให้ "พรรคจิ๋ว" การเกิดขิ้นของ "ส.ส. งูเห่า/ส.ส.ฝากเลี้ยง" ในพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงเกิดเหตุ "แตกภายใน" ของแต่ละพรรคการเมือง โดยเฉพาะ ปชป. ที่ ส.ส. บางส่วนเล่นบท "แนวร่วมมุมกลับของฝ่ายค้าน" จนถูกจับตาว่าอาจมีรายการ "เช็กบิลย้อนหลัง" ในการปรับ ครม. รอบนี้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป จากปัจจัย 3 ประการ
- หนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พร้อมเพิกถอนสิทธิการเมือง กก.บห. ชุดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผลให้ฝ่ายค้านเสียที่นั่งในสภาไป 11 เสียง ขณะที่รัฐบาลได้เสียงจากขั้วตรงข้ามมาเติมเต็ม 12 เสียง เมื่ออดีต ส.ส.อนค. พลิกขั้วมาสังกัดพรรครัฐบาล โดยกระจายอยู่ใน ภท. 9 คน และ ชทพ. และ ชพน. พรรคละ 1 คน
- สอง การ "ย้ายข้าง" ของพรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศม.) 5 เสียง
- สาม การไล่เก็บชัยชนะในสนามเลือกตั้งซ่อม 4 เขตของพรรครัฐบาล โดยมีอยู่ 3 เขตที่เป็นพื้นที่เดิมของฝ่ายค้าน ประกอบด้วย นครปฐม เขต 5, ขอนแก่น เขต 7 และลำปาง เขต 4 รวมถึงการที่นั่งใน จ.กำแพงเพชร เขต 2 ของ พปชร. เอาไว้ได้
นั่นทำให้ส่วนเสียงในสภาระหว่างรัฐบาล 20 พรรค กับฝ่ายค้าน 6 พรรค+มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.ศม. ขยับเป็น 275 ต่อ 212 เสียง หรือห่างกัน 63 เสียง (ไม่รวมเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ลำปาง ซึ่ง กกต. ยังไม่รับรองผล) จบปัญหา "รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" และทำให้ฝ่ายค้านไม่อาจล้มรัฐบาลกลางสภาได้
แต่ถึงกระนั้นได้เกิดเหตุ "สภาล่ม" ครั้งแรกของสมัยประชุมนี้เมื่อ 8 ก.ค. 2563 และถือเป็นเหตุ "สภาล่ม" ครั้งที่ 3 ในรอบ 8 เดือนของสภาล่างชุดที่ 25 หลังเคยเกิดเหตุองค์ประชุมไม่ครบมาแล้วเมื่อ 27-28 พ.ย.2562
ใช้ "อาวุธทางกฎหมาย" กดพลังนอกสภา
ความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาลได้รับการการันตีโดย "คนการเมือง" และ "ขุนทหาร" ซึ่งเปิดหน้าเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงขนาดฟันธงว่าจะอยู่ครบเทอม 4 ปี
นักการเมืองสังกัดพรรครัฐบาลประเมินว่ารัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2562 "นิ่งกว่า" รัฐบาลหลังเลือกตั้งปี 2550 เนื่องจากมี "อาวุธทางกฎหมาย" อย่างน้อย 3 ฉบับคอยกำกับพลังความเคลื่อนไหวนอกสภา และทำให้การชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้มีระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปี, พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่กำหนดโทษยุบพรรค หากมีการก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
นอกจากนี้วิกฤตไวรัสมรณะยังปิดประตูความเคลื่อนไหวของ "แฟลชม็อบ" นักศึกษาที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งนายไพบูลย์ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ สภา เห็นว่าข้อเรียกร้องให้รื้อรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติทั้งฉบับ เป็นการ "ลุแก่อำนาจ" เพราะมาจากนักศึกษาไม่กี่คน และ "ไม่สามารถระคายเคืองรัฐบาลได้ พอเจอโควิดก็ยิ่งไปกันใหญ่"
"พล.อ.ประยุทธ์มีบุคลิกที่เหมาะกับสถานการณ์ เข้มแข็ง ถ้าไม่เหมาะกับสถานการณ์คงเป็นมาไม่ได้ถึงขนาดนี้ แต่ไม่ใช่เป็นเพราะอยากนะ แต่จำเป็นต้องเป็นเพื่อประเทศชาติและสถาบัน" นายไพบูลย์กล่าว
เช่นเดียวกับ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ระบุว่า นายกฯ บริหารด้วยความโปร่งใส ให้ความเป็นธรรม ที่สำคัญคือมีความเด็ดขาด โดยเฉพาะช่วงโควิด พวกเราควรชื่นชม
"อย่าลืมว่านายกฯ ปัจจุบันบริหารราชการบ้านเมือง และมาจากการเลือกตั้งที่มาโดยรัฐธรรมนูญ" ผบ.ทบ. กล่าว