FPI วอลุ่มอินเดียโต 2 เท่า ตั้งบริษัทย่อยเจาะฐาน B2C
#FPI #ทันหุ้น – บอสใหญ่ FPI ส่องทิศทางครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ออเดอร์อินเดียทะลัก วอลุ่มโต 2 เท่า โชว์แบ็กล็อกแน่น 800 ล้านบาท ล่าสุดตั้งบริษัทย่อย "บริษัท อาร์ บี เอส พลาสติก อินโนเวชั่น จำกัด" เจาะตลาด B2C เตรียมเปิดตัว 1 กรกฎาคมนี้ ตั้งเป้ากวาดยอดขายปีละ 200 ล้านบาท
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า บริษัทจัดตั้งบริษัทย่อย "บริษัท อาร์ บี เอส พลาสติก อินโนเวชั่น จำกัด" เพื่อผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ประดับยนต์ โดยมีทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาท) แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 50,000 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท บริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ประดับยนต์ จากกระบวนการ VACUME, BLOW MOLD เพื่อจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
** โกยยอดครึ่งหลัง
สำหรับบริษัทย่อยจะจับกลุ่มCustomization และ Low Volume หรือ B2C เพราะค่ายจีนเริ่มขยายธุรกิจผลิตรถยนต์มากขึ้น และบริษัทย่อยจะไม่ชนกับ FPI เพราะกลุ่ม Hight Volume จะเป็นกลุ่มลูกค้าของ FPI คาดจะเริ่มดำเนินการได้ในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ เบื้องต้นตั้งเป้ายอดขายจากบริษัทย่อยเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท ส่วนปีนี้เปิดดำเนินการเพียง 6 เดือน คาดจะมียอดขายอยู่ที่ราว 100 ล้านบาท และในอนาคตคาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดด
ขณะที่ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2567 ธุรกิจที่อินเดียมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น เพราะบริษัทรับคำสั่งซื้อ(ออเดอร์) โปรเจ็กต์ใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังได้โปรเจ็กต์จากค่ายรถยนต์อื่นๆ เพิ่มเติม อย่าง โตโยต้าอินเดีย จากเดิมงานซูซิกิ คาดจะมีออเดอร์เพิ่มขึ้นราว 15 ล้านรูปี หรือมียอดขายจากอินเดียอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านรูปี
บริษัทคาดยอดขายจากอินเดียจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว หรือวอลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากยอดในประเทศหดตัวถึง 30% ซึ่งเป็นตัวเลขลดลงมาก ส่วนการส่งออกคาดจะเติบโต 20% ซึ่งในไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมาการส่งออกบริษัทโต 10% ส่วนในไตรมาส 2/2567 คาดจะโต 10%
** ซดออเดอร์อเมริกา
นอกจากนี้บริษัทจะจับตลาดอเมริกา ล่าสุดบริษัทได้ออเดอร์อเมริกาครั้งใหญ่เข้ามา 3 ตู้คอนเทนเนอร์ คิดเป็นมูลค่า 3-4 ล้านบาท แม้จะเป็นตัวเลขเงินไม่เยอะ แต่ถือเป็นภาพที่ดีหลังได้รับออเดอร์ขนาดใหญ่ ที่ไม่เคยได้มากมาก่อนจากลูกค้าอเมริกา
โดยรวมภาพครึ่งปีหลัง 2567 คาดจะดีกว่าปีแรก เพราะธุรกิจอินเดียมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น และบริษัทจะมียอดขายจากย่อยที่เปิดใหม่เข้ามาด้วย ดังนั้นภาพรวมเป้ายอดขายที่วางไว้ 3 พันล้านบาท บริษัทจะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมาย ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ราวๆ 700-800 ล้านบาท หลักๆ ยังเป็นออเดอร์จากทางอินเดีย ส่วนในประเทศไทย คิดเป็นยอด Backlog ไม่มาก
อนึ่ง 3 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้แล้วที่ 563.51 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 60.30 ล้านบาท