‘หยวนต้า’ ประเมินหุ้นแบงก์รับข่าวลบไปมากแล้ว ราคาฟื้นเกือบทั้งกลุ่ม แต่ภาพรวมดัชนียังซึม
‘หยวนต้า’ ประเมินหุ้นแบงก์รับข่าวลบไปมากแล้ว ราคาฟื้นเกือบทั้งกลุ่ม แต่ภาพรวมดัชนียังซึม
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์งดการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลและห้ามทำการซื้อหุ้นคืน ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีเคลื่อนไหวทรงตัว แม้ตลาดหุ้นยุโรป รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถือว่าปรับระดับขึ้นมาได้ดี ซึ่งมองว่าตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่การติดตามประเด็นผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม แต่ในมุมมองของบล.หยวนต้า มองว่าจะมีการปรับละระดับลงมาอีก 0.25% เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีภาระ 2 ด้านคือ 1.สินเชื่อที่ปล่อยไปมีโอกาสกลายเป็นหนี้ไม่ก่อรายได้ (เอ็นพีแอล) ซึ่งมีลูกค้าทยอยเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอยืดเวลาการชำระหนี้พอสมควร โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 4 ของยอดสินเชื่อทั้งหมด ที่ลูกหนี้เข้ามาขอปรับเงื่อนไขต่างๆ และ 2.เงินฝากเร่งตัวขึ้นมาก โดยในช่วง 4 เดือนแรก เงินฝากปรับเพิ่มขึ้นกว่า 7-8% ทำให้ธนาคารจะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับลูกค้าเงินฝากเหล่านั้น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ก็จะเป็นภาระกับสถาบันการเงิน
“ด้านหนึ่งอาจมองว่าหากแบงก์ชาติ ไม่ลดดอกเบี้ยก็อาจจะดีกับธนาคารแต่ความจริงแล้วธนาคารก็เก็บดอกเบี้ยสูงไม่ได้ ต้องเก็บดอกเบี้ยต่ำ ทำให้หากแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา ก็จะช่วยลดต้นทุนของธนาคารทั้งในแง่ของการกู้เงินระหว่างกัน เพื่อเสริมสภาพคล่อง รวมถึงการจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน ทำให้ผู้ฝากเงินต้องหาทางอื่นหรือผลักเม็ดเงินที่จะฝากไว้กับธนาคาร โยกไปลงที่พันธบัตรรัฐบาลที่กำลังจะมีออกมารองรับได้ จึงคาดว่าแบงก์ชาติจะมีแนวทางลดดอกเบี้ยลง แต่หากไม่ลดหุ้นแบงก์ก็คงฟื้นตัวได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้การลดดอกเบี้ยลง เป็นปัจจัยกดดันกลุ่มแบงก์ ทำให้เจอแรงเทขายในระยะสั้นออกมาเล็กน้อยเหมือนในช่วงที่ผ่านมา เป็นการขายในระยะสั้นมากจริงๆ ก่อนจะมีการซื้อคืนในช่วงท้ายตลาด ทำให้หุ้นกลุ่มแบงก์ก็ปรับขึ้นต่อไปในระยะยาว จึงมองว่าต่อให้ลดหรือไม่ลดดอกเบี้ยหุ้นกู้แบงก์ก็ขยับขึ้นต่อได้อยู่ดี” นายณัฐพลกล่าว
นายณัฐพลกล่าวว่า สำหรับเงินปันผลระหว่างกาลที่จะหายไปจากตลาด เบื้องต้นคาดว่ารวมกันประมาณ 1.43 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้กลุ่มแบงก์มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (ดิวิเดนด์ยิลด์) ในปี 2563 ลดลง 1.15% เหลือเพียง 4.38% ซึ่งมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นไทย ลดลง 0.10% เหลืออยู่ที่ 3.46% โดยการที่ตลาดปรับลดลงแรงในช่วงวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มแบงก์ เป็นกลุ่มที่ปรับลงแรงนำตลาด จึงประเมินว่าราคาที่ปรับลดลงไป น่าจะตอบรับข่าวเชิงลบไปมากแล้ว โดยจะเห็นว่าราคาหุ้นแบงก์วันนี้ฟื้นตัวขึ้นเกือบทั้งกลุ่ม ยกเว้นหุ้นเคแบงก์ ที่ปรับลดลง 0.25 บาท หรือ0.28% เท่านั้น สำหรับหุ้นกลุ่มแบงก์ ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 288.12 บวก 3.30 จุด หรือ 1.16% มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 8,809,597.90 ล้านบาท