รีเซต

เกมใหม่ ไทยตั้งเป้า "Net zero" เร็วขึ้น 15 ปี

เกมใหม่ ไทยตั้งเป้า "Net zero" เร็วขึ้น 15 ปี
TNN ช่อง16
7 ตุลาคม 2568 ( 11:45 )
12

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2025 นายกรัฐมนตรี “อนุทิน ชาญวีรกุล” แถลงนโยบายภายใต้รัฐบาลใหม่ว่าจะผลักดันประเทศไทยสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ” เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการตั้งเป้าให้ไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net zero) ภายในปี 2050 จากเดิมที่มีเป้าหมายจะบรรลุ Net zero ในปี 2065 

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ระบุว่า นโยบายดังกล่าวถือเป็น “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ในเชิงนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของไทย นับตั้งแต่ได้มีการตั้งเป้าหมาย Net zero อย่างเป็นทางการกับประชาคมโลกในปี 2021 (ในการประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 :COP26)

 โดยการปรับเป้า Net zero ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปีนี้ นับเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญที่จะ “เขย่าอนาคต” ของอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากภาครัฐของไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่า “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของเศรษฐกิจไทยในโลกอนาคต”

เนื่องจากการตั้งเป้า Net zero เร็วขึ้น 15 ปี ของภาครัฐ จะช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยปรับตัวได้เท่าทันกับจังหวะก้าวของโลก โดยหากไทยยังคงเป้าหมายเดิมไว้ในปี 2065 จะทำให้ไทยบรรลุ Net zero ช้ากว่า 111 ประเทศถึง 15 ปี   และถ้าไม่นับรวมประเทศมอริเชียส (Mauritius) และอินเดียไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีเป้าหมาย Net zero  “ช้าที่สุด”  ในกลุ่มประเทศที่มีเป้าหมาย Net zero 

และเสี่ยงหลุดจากวงจรการค้าโลกในอนาคต เนื่องจากประเทศและบริษัทต่าง ๆ ที่มีเป้า Net zero 2050 มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการเฉพาะจากประเทศและบริษัทที่มีเป้าหมาย Net zero ไม่ช้าไปกว่าเป้าหมายที่ประเทศหรือบริษัทของตนเองกำหนดไว้ 

ทั้งนี้ เป้าหมายนโยบายNet zero 2050 ของรัฐบาลใหม่ สอดคล้องกับข้อเสนอจากงานศึกษาของ SCB EIC ในปี 2024  ที่เสนอให้รัฐบาลปรับเป้าหมาย Net zero ให้เร็วขึ้นและการเร่งออกมาตรการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net zero ของภาครัฐ  เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดการลงทุนแล้ว ยังเป็นการช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมของไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างทันท่วงที 

ดังนั้น นโยบาย Net zero 2050 ของรัฐบาลใหม่ จะเป็นหนึ่งใน “กุญแจสำคัญ” ที่จะช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคเอกชนไทยให้เท่าทันโลก เนื่องจากการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ จะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องไปอีกในช่วง 25 ปีข้างหน้า โดยภาคเอกชนเพียงลำพังจะไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจนนำไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ 

อย่างไรก็ตาม  แม้เป้าหมายใหม่จะถือเป็นความก้าวหน้า แต่ในระดับโลก ไทยเพียงแค่ “กลับเข้าสู่มาตรฐานสากล” เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น, สหภาพยุโรป และเวียดนาม ที่ได้ประกาศเป้าหมาย Net zero 2050 ไปก่อนแล้ว

SCB EIC ระบุบว่า นโยบาย Net zero 2050 จะทำให้อุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มเติบโต ได้ประโยชน์จากความต้องการใช้สินค้าและบริการที่จะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 

1) กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด เช่น โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แผงโซลาร์  2) กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน  อาทิ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ 

3) กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของรถไฟฟ้า เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สถานีชาร์จ  4) กลุ่มอุตสาหกรรมจัดการของเสีย อาทิ ธุรกิจรีไซเคิล ธุรกิจจัดการขยะและน้ำเสีย  5) กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุฐานชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพ 

6) กลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ เช่น ไฮโดเจน เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) และ 7) กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) 

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย New S-Curve ที่รัฐบาลไทยกำลังให้การส่งเสริมอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี หรือผู้ซื้อรถไฟฟ้าจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 50,000 – 100,000 บาท เป็นต้น

แต่ในทางตรงกันข้าม อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากในประเทศให้เปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปี ก่อนประกาศนโยบาย Net zero 2050 ภาคอุตสาหกรรมไทยก็เผชิญแรงกดดันจากคู่ค้าในตลาดโลกให้บรรลุเป้าหมาย Net zero เร็วกว่าเป้าประเทศ 15 ปีอยู่แล้ว

 ซึ่งนโยบาย Net zero 2050 จะเพิ่มแรงกดดันจากฝั่งในประเทศ โดยมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐจะเร่งทยอยออกมา เช่น การตั้งเป้าหมายรับซื้อพลังงานหมุนเวียน การเก็บภาษีคาร์บอน และการบังคับใช้ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System : ETS) จะสร้างแรงกดดันให้อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงต้องเร่งปรับตัวเร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปี 

ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ, โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล, เคมีภัณฑ์, วัสดุก่อสร้าง (เหล็ก ซีเมนต์), อะลูมิเนียม, ขนส่ง และรถยนต์สันดาปภายใน (รถน้ำมัน) โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ จะยังสามารถเติบโตต่อได้ หากสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางในการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ต่าง ๆ ในไทยได้มีความพยายามในการปรับตัวบ้างแล้ว  โดยส่วนใหญ่ประกาศเป้าหมาย  Net zero 2050 (พ.ศ. 2593) ก่อนที่รัฐบาลจะปรับนโยบาย Net zero เร็วขึ้น 15 ปี   อาทิ  บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ,บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)  //บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น 

ดังนั้น โจทย์ต่อไปคือการเร่งผลักดันให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กต้องปรับตัวเพื่อเดินหน้าเข้าสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้นพร้อม ๆ กันด้วย


SCB EIC ระบุว่า ผู้ประกอบการต้องเริ่มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากเป้า Net zero 2050 แรงกดดันจากทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว  โดยผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นได้ผ่านการดำเนินการ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 

1) ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ขั้นตอนนี้จะทำให้ผู้ประกอบการทราบว่าจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมไหนในการดำเนินธุรกิจ  2) ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติหรือมาตรฐานของอุตสาหกรรม โดยมาตรฐาน SBTi (Science Based Targets initatives) เป็นมาตรฐานการตั้งเป้าหมาย Net zero ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในระดับสากล 

3) ค้นหาเทคโนโลยีและกลยุทธ์ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยต้องประเมินความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้  4) ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการสร้างกลไกในองค์กรที่จะช่วยให้การดำเนินการตามแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบรรลุผล เช่น การกำหนดค่าตอบแทนของผู้บริหารให้ยึดโยงกับผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

และ 5) ติดตาม ประเมินและรายงานผลการดำเนินงานต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ทราบถึงความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการมองหาโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของ 7 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้น (ดังที่กล่าวไปตอนต้น) หรือการใช้ประโยชน์จากแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green finance) หรือเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition finance) เพื่อสร้างสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น การผลิตสินค้าเกษตรคาร์บอนต่ำ หรือ โรงแรมสีเขียว เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนปรับพฤติกรรมสู่เส้นทางลดคาร์บอน โดยมาตรการภาครัฐจะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ระยะเวลาและต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ในที่สุด ซึ่งมาตรการสนับสนุนสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วน 

ส่วนแรก คือ การออกมาตรการสร้างแรงจูงใจสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรแต่ขาดแรงจูงใจในการปรับตัว ตัวอย่างเช่น การเพิ่มเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การลดการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่หันมาใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นต้น 

ส่วนที่สอง คือ การออกมาตรการช่วยเหลือสำหรับผู้ประกอบการหรือผู้บริโภคที่ขาดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการปรับพฤติกรรม เช่น การให้องค์ความรู้ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการที่ขาดแคลนเงินลงทุน หรือการสนับสนุนเงินทุนแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพื่อนำไปปรับปรุงบ้านพักให้สามารถประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้น เป็นต้น

SCB EIC สรุปว่า นโยบาย Net zero 2050 คือ ยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะมาตรฐานคาร์บอนต่ำจะกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของการค้าโลกในอนาคต ประเทศและธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันจะถูกกีดกันออกจากห่วงโซ่อุปทานและสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ 

ขณะที่ผู้ประกอบการที่เริ่มลงมือวันนี้จะได้เปรียบทั้งในด้านการเข้าถึงตลาดใหม่ แหล่งเงินทุนสีเขียว และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ในทางกลับกัน ผู้ที่รออาจต้องเผชิญต้นทุนการปรับตัวที่สูงขึ้นและความเสี่ยงในการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ดังนั้น การบรรลุ Net zero 2050 จึงไม่ใช่แค่เป้าหมายของภาครัฐ แต่เป็น “เกมใหม่” ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันเล่น โดยภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขณะที่ภาคธุรกิจต้องมองการลดคาร์บอนเป็นกลยุทธ์หลัก ไม่ใช่เพียงเรื่องภาพลักษณ์ เพราะในโลกอนาคต ผู้ที่ปรับตัวได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง

ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ประเทศไทยจะเร่งบรรลุเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี เป็นภายในปี 2050 แทนปี 2065 ส่งผลให้ไทยต้องเร่งลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี โดยภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหนึ่งในภาคที่ปล่อยคาร์บอนสูงกว่าร้อยละ 24.2  ของทั้งประเทศ (59.2 ล้านตันคาร์บอน) อาจถูกกดดันให้เร่งปรับตัว โดยเฉพาะผู้ผลิตซีเมนต์ สารเคมี สารทำความเย็น และโลหะ  โดยต้องเร่งมาตรการที่ทำได้ทันที  อาทิ ใช้พลังงานโซลาร์ จัดการของเสียอย่างยั่งยืน  และการลงทุนในเทคโนโลยีเชิงลึก (เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว อาทิ สินเชื่อและพันธบัตรสีเขียว เป็นต้น


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง