รีเซต

กาฬสินธุ์ งานเข้า! คลัสเตอร์ก๊งเหล้าขาว ดื่มแก้วเดียวกัน ติดโควิดเพียบ

กาฬสินธุ์ งานเข้า! คลัสเตอร์ก๊งเหล้าขาว ดื่มแก้วเดียวกัน ติดโควิดเพียบ
ข่าวสด
1 ตุลาคม 2564 ( 14:36 )
34
กาฬสินธุ์ งานเข้า! คลัสเตอร์ก๊งเหล้าขาว ดื่มแก้วเดียวกัน ติดโควิดเพียบ

 

กาฬสินธุ์ งานเข้าอีก พบ คลัสเตอร์ก๊งเหล้าขาว ตั้งวงร่ำสุราร้านขายของชำ ดื่มแก้วเดียวกัน ก่อนติดโควิดเพียบ เผย ต้นตอ ด้าน สสจ. วอนปฏิบัติตามมาตรการ

 

วันที่ 1 ต.ค.2564 ที่ลานเอนกประสงค์ ข้างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านแกเปะ ต.เชียงเครือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน และ อสม. ร่วมกันตั้งจุดคัดกรองเพื่อทำการสวอปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับชาวบ้านกลุ่มเสี่ยง ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ หลังจากเมื่อช่วงกลางเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีวัยรุ่นไปเที่ยวกลับมาแล้วตั้งวงดื่มสุรา

 

และมีชาวบ้านกลับจากพื้นที่เสี่ยงไม่ยอมกักตัว มีการดื่มเหล้าขาวแก้ว หรือจอกเดียวกันที่ร้านขายของชำ ก่อนตรวจพบเชื้อโควิด-19 ภายหลัง ทำให้เชื้อได้แพร่กระจายเป็นคลัสเตอร์ พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรวม 29 ราย ขณะที่บริเวณปากทางออกหมู่บ้าน 4 ทหารเสือ ได้ตั้งจุดคัดกรองการเดินทางเข้า-ออกหมู่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง

 

กาฬสินธุ์ งานเข้าอีก พบ คลัสเตอร์ก๊งเหล้าขาว ตั้งวงร่ำสุราร้านขายของชำ ดื่มแก้วเดียวกัน

 

นายสมพร ภารสำราญ ผู้ใหญ่บ้านแกเปะ หมู่ 5 ต.เชียงเครือ กล่าวว่า กรณีพบชาวบ้านแกเปะติดโควิด-19 ประมาณวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา เริ่มจากวัยรุ่นในหมู่บ้านคนหนึ่งไปเที่ยวกับเพื่อนในตัวเมืองกาฬสินธุ์ มีการรวมกลุ่มกับเพื่อน และอาจจะมีการตั้งวงดื่มตามประสาวัยรุ่น ก่อนที่รายต่อมาจะเป็นคนในหมู่บ้านที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ แต่ไม่กักตัว มีไทม์ไลน์ไปซื้อสินค้าที่ร้านของชำกลางหมู่บ้าน

 

นายสมพร กล่าวต่อว่า ซึ่งร้านขายของชำดังกล่าว มีการจำหน่ายสุราให้ลูกค้ามาซื้อในลักษณะของการขายเป็นก๊ง โดยการใช้แก้วหรือตามภาษาชาวบ้านเรียก "จอก" เดียวกันเวียนดื่มหลายคน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุการติดโควิดและแพร่กระจายเป็นคลัสเตอร์ดังกล่าว ทั้งนี้ ได้ประกาศขอความร่วมมือร้านค้าและร้านขายของชำในหมู่บ้านแกเปะทั้ง 6 ชุมชน งดการขายสุรา พร้อมเตือนชาวบ้านงดการเดินทางเข้าออกในช่วงนี้ และหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงให้มารับการตรวจคัดกรองทุกคนด้วย

 

 

ด้าน นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นว่าพบผู้ติดโควิด-19 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ มากขึ้น สาเหตุจากการเดินทางไปในจังหวัดพื้นที่เสี่ยงสูง สีแดงเข้มแล้ว พอเดินทางกลับก็ไม่ได้เข้าสู่ระบบการกักกันตัว และรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจจะเป็นการนำเชื้อมาด้วยโดยไม่รู้ตัว

 

นพ.อภิชัย กล่าวต่อว่า เกิดการติดต่อกับผู้สัมผัสใกล้ชิดและแพร่กระจายในชุมชน จึงเป็นสาเหตุพบคลัสเตอร์ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ดังกล่าว เช่น ที่ ต.ลำคลอง อ.เมือง และ ต.คลองขาม อ.ยางตลาด ทั้งนี้ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล 200 ราย ที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

 

 

นพ.อภิชัย กล่าวอีกว่า ส่วนการพบคลัสเตอร์ใหม่ใน ต.เชียงเครือ เบื้องต้นมีผู้ป่วยยืนยันจำนวน 29 รายนั้น จากการสอบสวนโรค น่าเชื่อได้ว่าเกิดจากกลุ่มวัยรุ่นที่เดินทางท่องเที่ยว และชาวบ้านที่เดินทางจากกรุงเทพฯ พื้นที่เสี่ยงสูง ไม่เข้าสู่ระบบการกักกันตัว และรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ต่อมาได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ มีอาการไข้ไปตรวจพบเชื้อ ซึ่งได้มีการแพร่เชื้อไปในหมู่บ้านแล้ว

 

"จากการติดตามไทม์ไลน์ที่ร้านขายของชำในหมู่บ้านและสอบสวนโรค ยังเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่และชาวบ้าน ที่มีการเดินทางและตั้งวงดื่มสุรา จึงเกิดการกระจายเชื้อ เบื้องต้นพบ 29 ราย และมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 87 ราย ขณะนี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อ.เมืองกาฬสินธุ์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ รพ.สต.เชียงเครือ อสม. ได้ระดมกำลังกันสวอปชาวบ้าน และจะทำการตรวจคัดกรองเชิงรุก (ATK) ทั้งหมู่บ้านอีกด้วย" นพ.อภิชัย กล่าว

 

 

นพ.อภิชัย กล่าวด้วยว่า จากสถานการณ์พบผู้ติดเชื้อโควิดเป็นคลัสเตอร์กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ดังกล่าว จึงอยากขอความร่วมมือกับพี่น้องประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ที่จะเดินทางไปธุระ ไปทำงาน หรือท่องเที่ยวต่างจังหวัด รวมทั้งประชาชนจากต่างจังหวัด ที่จะเดินทางเข้ามาในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ได้เพิ่มความระมัดระวัง การเดินทางเข้าพื้นที่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ทุกครั้ง เพื่อทำการคัดกรอง สิ่งสำคัญที่สุดที่จะสามารถระงับยั้งยั้งการได้รับเชื้อ ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ 2 ประการ คือ

 

มาตรการ D-M-H-T-T ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการครอบจักรวาล และหากเดินทางจากพื้นที่เสี่ยง ต้องเข้าสู่ระบบการกักกันตัว ก็จะเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อย่างได้ผลดีที่สุด ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ล่าสุดวันนี้พบผู้ป่วยรายใหม่ 14 ราย มีผู้ป่วยสะสม 7,685 ราย หายป่วยแล้ว 7,396 ราย กำลังรักษา 235 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 54 ราย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง