รีเซต

ผชช.ชี้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าพลังงานสะอาดจากจีน ฉุดรั้งความพยายามลดคาร์บอน

ผชช.ชี้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าพลังงานสะอาดจากจีน ฉุดรั้งความพยายามลดคาร์บอน
Xinhua
15 พฤษภาคม 2567 ( 15:44 )
29
[caption id="" align="alignnone" width="800"] (แฟ้มภาพซินหัว : รถยนต์เสียวหมี่ รุ่นเอสยู7 ที่งานวันแบรนด์จีน 2024 ในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน วันที่ 10 พ.ค. 2024)[/caption]ริยาด, 15 พ.ค. (ซินหัว) -- โรบิน มิลส์ ซีอีโอของกามาร์ เอ็นเนอร์จี (Qamar Energy) ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านยุทธศาสตร์พลังงาน แสดงความเห็นตักเตือนว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรกับสินค้าพลังงานสะอาดจากจีนของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจขัดขวางความพยายามลดคาร์บอนของสหรัฐฯ อย่างร้ายแรงบทความของมิลส์ในหนังสือพิมพ์เดอะ เนชันแนล ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันจันทร์ (13 พ.ค.) ระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นเรื่องของ "การเมือง" อย่างชัดเจน เนื่องจากไบเดนตั้งเป้าหมายปกป้องตำแหน่งงานด้านการผลิตในกลุ่มรัฐที่มิอาจคาดเดาผลการเลือกตั้ง (swing states) เช่น มิชิแกนและเพนซิลเวเนีย ระหว่างสมรภูมิการเลือกตั้งในปัจจุบันสื่อมวลชนรายงานว่าเมื่อวันอังคาร (14 พ.ค.) สหรัฐฯ ประกาศแผนการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าพลังงานสะอาดจากจีนหลายรายการ ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ถูกปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 100 รวมถึงแผงโซลาร์เซลล์ เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำคัญอื่นๆ ที่จะถูกปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรด้วยมิลส์ ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือ "เรื่องเล่าของวิกฤตน้ำมัน" (The Myth of the Oil Crisis) ระบุว่านโยบายภาษีศุลกากรเชิงลงโทษดังกล่าวมุ่งกดขี่จีนที่กำลังผงาดขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ซึ่งจะไม่ได้มีแค่จีนที่โดน แต่หากอินเดีย อินโดนีเซีย ซาอุดีอาระเบีย หรือใครก็ตามกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในเทคโนโลยีพลังงานใหม่ของสหรัฐฯ จะถูกกีดกันทางการค้าเช่นกันนอกจากนั้นการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรดังกล่าวจะชะลอการลดปล่อยคาร์บอนในสหรัฐฯ เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ มีราคาแพงขึ้นและมีคุณสมบัติจะได้รับเงินอุดหนุนยากขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ด้านสภาพภูมิอากาศในสหภาพยุโรปและที่มาจากพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯขณะเดียวกันการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรดังกล่าวอาจจะยิ่งบั่นทอนสันติภาพอันเปราะบางระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงสร้างความเสียหายแก่ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสภาพภูมิอากาศและประเด็นสำคัญอื่นๆมิลส์ชี้ว่าแทนที่จะพยายามแยกตัวโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจ ทุกฝ่ายควรทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเปิดกว้างเท่าที่จะเป็นไปได้ ครอบคลุมถึงหุ้นส่วนรายอื่นๆ อย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) อินเดีย และอินโดนีเซีย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง