คอลัมน์ไฮไลต์โลก: "หน้ากาก" ใส่ไว้ไม่เสียหาย!

อย่างที่จั่วหัวเอาไว้ “หน้ากากป้องกัน” ใส่ไว้เถิดไม่เสียหาย อย่าไปมีกระบวนท่าอิดออดมากมายเหมือนอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ หรือ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่คนหลังมีประสบการณ์ตรงจากการติดเชื้อโควิด-19 มาแล้ว ย่อมรู้ซึ้ง! จากที่ก่อนหน้าลังเลที่จะออกคำแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากเมื่อออกนอกบ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ก็ได้กลับใจออกมาตรการให้ชาวอังกฤษสวมหน้ากากขณะใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และตอนนี้ขยายผลให้ประชาชนสวมหน้ากากเมื่อไปจับจ่ายซื้อของตามห้างร้านต่างๆ ไม่เช่นนั้นจะเจอโทษปรับ
แม้แต่องค์การอนามัยโลกเริ่มแรกก็ไม่ได้ออกคำแนะนำจริงจังให้ชาวโลกสวมหน้ากากป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยชี้ว่าหน้ากากทั่วไปไม่ได้ป้องกันการติดต่อแพร่เชื้อที่มีประสิทธิผล ส่วนหน้ากากอนามัยและชุดพีพีอีก็ควรสงวนไว้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์หรือกลุ่มคนที่มีอาการป่วย เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาขาดแคลนสำหรับบุคคลที่มีความจำเป็นต้องใช้จริงๆ แต่ตอนนี้องค์การอนามัยโลกออกคำแนะนำแล้วว่าควรสวมหน้ากากป้องกันเอาไว้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานที่ปิด เพราะมีโอกาสติดต่อแพร่เชื้อโรคได้ง่าย
Masks4All กลุ่มนักวิจัยที่รณรงค์ให้ทำหน้ากากใช้กันเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ข้อมูลว่าถึงราวกลางเดือนมีนาคม มีรัฐบาลเพียงราว 10 ประเทศที่มีนโยบายแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากป้องกัน แต่ตอนนี้มีมากกว่า 130 ประเทศแล้วรวมถึงในอีก 20 รัฐของสหรัฐ ที่ออกคำแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากาก
ยังมีกรณีศึกษาที่พบว่าจากแรกๆ ที่มีกระแสต่อต้านการสวมหน้ากากของคนจำนวนมาก แต่ตอนนี้ผู้คนเริ่มมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป เนื่องจากมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการติดต่อแพร่เชื้อของไวรัสโควิด-19 โดยเมื่อเร็วๆนี้มีหลักฐานการศึกษาเพิ่มมากขึ้นว่าคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาแต่ไม่แสดงอาการ สามารถแพร่เชื้อโรคไปให้ผู้อื่นได้ การสวมหน้ากากของผู้ป่วยรายนั้นก็จะสามารถช่วยยับยั้งไม่ให้พวกเขาแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยที่พบว่าประเทศที่มีผู้คนสวมใส่หน้ากากป้องกันมาก ดูจะมีอัตราการติดเชื้อไวรัสโคโรนาต่ำ
ด้านรายงานของ Royal Society องค์กรวิชาการชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ในอังกฤษยังพบว่า หลายประเทศที่ไม่มีประวัติการสวมหน้ากากป้องกันมาก่อน กลับมีการยอมรับการสวมหน้ากากกันมากขึ้น เช่น ในอิตาลีมีสัดส่วนของผู้ที่ยอมสวมหน้ากากป้องกันถึง 83.4% สหรัฐ 65.8% และ สเปน 63.8%
อย่างไรก็ดีผลสำรวจของสถาบันนวัตกรรมสาธารณสุขโลก แห่งอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ซึ่งทำร่วมกับ ยูกอฟ ชี้ว่ายังมีช่องว่างอยู่มากระหว่างคนที่เต็มใจกับคนที่ไม่เต็มใจสวมใส่หน้ากากป้องกันตนเอง โดยคนในอิตาลี 83% และ ในสหรัฐ 59% บอกว่าพวกเขาใส่หน้ากากป้องกันเสมอเมื่อออกนอกบ้าน แต่ในอังกฤษมีเพียง 19% เท่านั้นที่ปฏิบัติในแบบเดียวกัน
ซาราห์ พี โจนส์ นักวิจัยด้านพฤติกรรมสาธารณสุข ของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน กล่าวให้ความเห็นว่า การสวมหน้ากากป้องกันสามารถขึ้นอยู่กับปัจจัยผันแปรหลายอย่าง เช่น คนมีความรู้สึกถึงความเสี่ยงต่อโรคมากเพียงใด การคำนึงถึงผลดีผลเสีย และการหาได้ง่ายของหน้ากาก โดยในประเทศที่มีคนยอมสวมหน้ากากเพิ่มมากขึ้น อาจเป็นผลจากพวกเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อน หรือการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายอย่างรวดเร็ว หรือการเห็นคนส่วนใหญ่ใส่หน้ากาก ตนเองจึงยอมใส่
คิม ลาวัว ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยควิเบก ในแคนาดา มองคล้ายๆกันว่า ประเทศที่เผชิญสถานการณ์ระบาดที่หนักหน่วงและรวดเร็วอย่างอิตาลี ก็อาจทำให้คนยอมสวมหน้ากากกันได้ง่ายมากขึ้น หรืออย่างในประเทศที่เจอโรคระบาดมาแล้วอย่างโรคซาร์สในปี 2003 หรือโรคระบาดเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ก็มีความพร้อมรับมือมากกว่า ที่รู้ดีว่าควรจะต้องใส่หน้ากากป้องกันหรือปฏิบัติตัวอย่างไร
เพราะผลสุดท้ายแล้ว การระมัดระวัง ป้องกันเอาไว้ก่อน ก็ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวเราเอง