หมดหนทาง ขอความเป็นธรรมให้ช้างป่าถูก18ล้อชน วงจรปิดเสียตลอดทาง
หมดหนทาง ทวงคืนความเป็นธรรมให้ช้างป่า หลังกล้องวงจรปิดของหน่วยงานราชการในพื้นที่ตลอดรายทาง เสียหรือไม่พร้อมใช้งานหมดยกแผง จนควานหาร่องรอยของรถบรรทุกชนช้างไม่ได้ ทำให้ จนท.ยังไม่ได้เบาะแสอะไรคืบหน้ามากนัก ขณะ หน.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนปัดให้สื่อสัมภาษณ์ ถามกลับ “หากช้างขาหัก จะลุกเดินหนีไปได้อย่างไร”
วันที่ 15 ม.ค.64 เวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวราย
งานความคืบหน้ากรณีช้างป่าอายุประมาณ 10 ปี น้ำหนักประมาณ 3 ตัน ถูกรถบรรทุกพ่วงพุ่งชน จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อช่วงหัวค่ำของเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนพยายามประคองร่างลุกขึ้นเดินอย่างโซเซ หายเข้าไปในป่าข้างทาง หลังจากนอนสลบหมดสติอยู่นานบนพื้นถนนสาย 3076 หรือ 3259 (เดิม) ที่บริเวณบ้านเนินดินแดง ม.13 ต.ท่าตะเกียบ ก่อนถึงด่านตรวจทหารพรานที่ 1306 เข้าสู่ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เพียงประมาณ 1 กม.นั้น
ล่าสุดทราบจากทางเจ้าหน้าที่ว่า ช้างป่าตัวที่บาดเจ็บตัวดังกล่าวนั้น ได้พยายามเดินโขยกพาร่างอันบอบช้ำหนีเตลิดเข้าไปยังภายในป่าลึกห่างจากจุดเกิดเหตุไปประมาณ 3-4 กม. แล้ว จนถึงบริเวณป่าบ้านหลุมตาสังข์ หมู่ที่ 25 ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา แต่เมื่อสอบถามต่อถึงทางด้านอาการของช้างที่ถูกรถบรรทุกพ่วงพุ่งชนล่าสุด จากทางเจ้าหน้าที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ต่างพากันปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลต่อทางผู้สื่อข่าว
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามถึงความคืบหน้าในการติดตามดูอาการ เพื่อประเมินอาการและแนวทางในการหาทางทำการรักษาอาการบาดเจ็บของช้างป่า จากนายวีระพงศ์ โคระวัตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน แต่กลับได้รับการปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยบอกว่าสามารถให้ข้อมูลได้ แต่ไม่ขอให้สัมภาษณ์ ทั้งยังบอกกลับมายังผู้สื่อข่าวด้วยว่า “หากช้างป่าขาหักแล้ว จะลุกเดินหนีไปได้อย่างไร”
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.พิพัชร์ พ่วงแพ ผกก. สภ.ท่าตะเกียบ ได้กล่าวต่อผู้สื่อข่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามหารถยนต์บรรทุกพ่วงที่ก่อเหตุพุ่งชนช้างป่าจนได้รับบาดเจ็บว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยชุดสืบสวน สภ.ท่าตะเกียบ ได้เดินทางไปดูยังในจุดเกิดเหตุใหม่อีกครั้ง และได้ทำการพูดคุยกับผู้ประสบพบเห็นเหตุการณ์ขณะช้างป่าถูกรถชนแล้ว
โดยได้ให้ชาวบ้านเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า รถบรรทุกขับมาบนเส้นทางมาอย่างไร ช้างอยู่ตรงจุดไหนของถนน และเมื่อช้างถูกชนแล้วเป็นอย่างไร และขึ้นฝั่งไปทางไหน จากนั้นจึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวน สภ.ท่าตะเกียบ ให้เดินเก็บภาพจากกล้องวงจรปิด หรือไล่ดูกล้องนับจากด่านตรวจของทหารพรานไปจนถึงยังที่ทำการของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งมีกล้องของกรมอุทยานฯ หรือป่าไม้ติดตั้งอยู่ และเดินต่อไปจนถึงยังด่านตรวจซับวัวแดง ในเขตพื้นที่ จ.สระแก้ว แต่ไม่พบอะไร
เนื่องจากกล้องที่ถูกนำมาติดตั้งไว้นั้นเสีย หรือไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ จึงยังไม่ได้อะไรกลับมา จากนั้นจึงได้เริ่มต้นเดินจากด่านตรวจทหารพราน จุดที่ใกล้กับที่เกิดเหตุขึ้นมายังบ้านหนองคอก ซึ่งมีกล้องอยู่จำนวนหลายตัว แต่กลับอยู่ในสภาพที่ใช้งานไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน จนมาพบว่ามีกล้องอยู่ที่บริเวณ 4 แยกหนองคอก จุดที่จะมุ่งหน้าสู่ตลาดซึ่งเป็นของชาวบ้าน
แต่มุมกล้องไม่สามารถที่จะเห็นรถในมุมด้านหน้าหรือด้านหลังได้ จากนั้นจึงได้ให้ชุดสืบสวนเดินไล่หากล้องมาจนถึงยังหน้าที่ว่าการ อ.ท่าตะเกียบ ตลอดจนไล่ดูกล้องตามจุดทางแยกร่วมต่างๆ แต่ยังไม่พบรถคันที่เฉี่ยวชนช้างป่าจนได้รับบาดเจ็บ ส่วนการติดตามดูอาการของช้างป่านั้น เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาทราบว่าช้างได้เดินหนีออกไปจากจุดเกิดเหตุแล้วประมาณ 2 กม. และพบว่ายังมีอาการบาดเจ็บอยู่ แต่เจ้าหน้าที่ชุดติดตามยังไม่ได้เข้าไปใกล้
สำหรับทาง จนท.ตำรวจ สภ.ท่าตะเกียบ นั้นได้พยายามที่จะให้การช่วยเหลือ และจะทำจนสุดความสามารถเท่าที่จะช่วยเหลือได้ โดยคดีนี้น่าจะเป็นในเรื่องของคดีที่เกี่ยวกับความประมาทของผู้ขับรถ ส่วนรายละเอียดนั้นยังต้องเข้าไปปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ หรือป่าไม้ดูก่อน เพราะเกี่ยวของกับกฎหมายที่มีการคุ้มครองสัตว์ป่าด้วย พ.ต.อ.พิพัชร์ กล่าว