ทิสโก้-เคจีไอ ส่องหุ้นกลุ่มแบงก์ หลัง"ทักษิณ"เสนอตั้งธนาคารหนี้เสีย

#ทันหุ้น-บล.ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มแบงก์ หลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีนายทักษิณ ชินวัตร ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งธนาคารหนี้เสีย หรือ Bad Bank เพื่อซื้อหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLs จากธนาคาร เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ และเพิ่มพื้นที่ให้ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น และยังเสนอว่าเงินทุนสำหรับบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMCs อาจมาจากภาคเอกชนนั้น
ฝ่ายวิจัยทิสโก้ มีมุมมองว่า ระดับหนี้เสียที่เห็นในปัจจุบันไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ธนาคารงดการปล่อยกู้ใหม่ โดยเฉพาะกับสินเชื่อรายย่อย แต่เป็นเพราะผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดการณ์สำหรับบางกลุ่มสูงกว่ากำไรจากดอกเบี้ยที่คาดว่าจะได้รับไม่เหมือนในช่วงวิกฤตปี 2540 งบดุลของธนาคารในปัจจุบันที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัยกว่าในการจัดการกับความเสี่ยงด้านเครดิต เนื่องจากงบดุลไม่ใช่่ข้อจำกัด การกำจัดหนี้เสียจึงไม่น่าจะกระตุ้นให้ธนาคารปล่อยกู้มากขึ้น
และหากรัฐบาลผลักดันแนวคิดนี้ ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดกับธนาคารจะขึ้นอยู่กับรายละเอียดของข้อเสนอ หากรัฐบาลจัดตั้ง AMC และดำเนินการซื้อ NPLs ในตลาด อาจทำให้ราคาของ NPLs สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราการคืนทุนสูงขึ้นสำหรับธนาคาร อย่างไรก็ตาม หาก AMC ที่ตั้งขึ้นใหม่มีวาระเช่น มุ่งเป้าไปที่ผู้กู้เฉพาะกลุ่ม ราคาอาจต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้อัตราการคืนทุนต่ำลง ในกรณีที่แย่ที่สุดซึ่งไม่น่าเกิดขึ้น รัฐบาลอาจอนุญาตให้ผู้กู้เข้าร่วม AMCs โดยสมัครใจ ซึ่งก่อให้เกิดประเด็นความเสี่ยงทางศิลธรรม ที่อาจสูญเสียสินเชื่อบางส่วนที่ไม่ใช่ NPL ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อภาคธนาคาร
เนื่องจาก ROE ที่ต่ำของ AMCในอุตสาหกรรมในขณะนี้ ทำให้มองว่าภาคธุรกิจไม่น่าให้ความสนใจในข้อเสนอนี้ ซึ่งทำให้รัฐบาลมีความท้าทายมากขึ้นในการผลักดันข้อตกลงนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำซื้อ สำหรับหุ้น KTB และ TTB โดยให้มูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 28.00 และ 2.30 บาทต่อหุ้นตามลำดับ
ด้านบล.เคจีไอ(ประเทศไทย) มองว่าแนวคิดการจัดการ Bad Bank โดยให้ธนาคารโอนหนี้เสียมาที่ Bad Bank และธนาคารเดินหน้าปล่อยสินเชื่อใหม่เพื่อให้ธนาคารกลับมาปล่อยสินเชื่อ เชื่อว่าธนาคารขนาดเล็กจะได้ประโยชน์มากสุด โดยมองว่า KKP TTB TISCO จะได้รับผลดี เพราะสัดส่วนสินเชื่อผู้บริโภค และ SME อยู่มาก ในขณะที่ SCB จะได้อานิสงส์มากกว่า KBANK แต่ BBL น่าจะได้อานิสงส์น้อยที่สุด เพราะสินเชื่อส่วนใหญ่ปล่อยให้ธุรกิจขนาดใหญ่