ฟองสบู่ AI ระเบิดเมื่อไหร่? ปี 2026 คือจุดตัดสิน ใครรอดใครร่วง!

#AI #ทันหุ้น – สำนักข่าว CNBC รายงานว่า นับถอยหลัง AI แตกฝั่ง! นักลงทุนเตือนถึงเวลาคัดของแท้-ของลมช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2025 เปรียบเสมือนรถไฟเหาะที่มีทั้งการเทขายและพุ่งทะยานของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากดีลการซื้อขายแบบหมุนเวียน (Circular deals) การออกตราสารหนี้ และมูลค่าบริษัทที่สูงลิ่ว ได้กระตุ้นความกังวลเรื่อง "ฟองสบู่ AI"
Stephen Yiu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Blue Whale Growth Fund มองว่า ความผันผวนดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่บ่งบอกว่าการลงทุนใน AI กำลังจะเปลี่ยนไป เนื่องจากนักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญอย่างใกล้ชิดว่า "ใครคือผู้ที่กำลังจ่ายเงิน" และ "ใครคือผู้ที่กำลังทำเงิน"
Yiu กล่าวกับ CNBC ว่า นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนใน AI ผ่านกองทุน ETF มักจะไม่ได้แยกแยะระหว่างบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์แต่ไม่มีโมเดลธุรกิจ, บริษัทที่ยอมเผาเงินสดเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI หรือบริษัทที่เป็นฝ่ายรับเงินจากการใช้จ่ายด้าน AI
จนถึงตอนนี้ "ดูเหมือนทุกบริษัทจะเป็นผู้ชนะ" แต่ AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เขากล่าวเสริมว่า "เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องแยกแยะ" ระหว่างบริษัทประเภทต่างๆ ซึ่งนั่นคือ "สิ่งที่ตลาดอาจเริ่มลงมือทำ"
เขาแบ่งบริษัทออกเป็น 3 กลุ่ม: บริษัทเอกชนหรือสตาร์ทอัพ, บริษัทจดทะเบียนที่เป็นผู้จ่ายเงินด้าน AI และบริษัทโครงสร้างพื้นฐาน AI
กลุ่มแรก ซึ่งรวมถึง OpenAI และ Anthropic สามารถดึงดูดเงินทุนจาก Venture Capital ได้ถึง 1.765 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2025 ตามข้อมูลจาก PitchBook ในขณะเดียวกัน ยักษ์ใหญ่กลุ่ม Big Tech อย่าง Amazon, Microsoft และ Meta คือกลุ่มที่กำลังเซ็นเช็คจ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่าง Nvidia และ Broadcom
Blue Whale Growth Fund วัดความคุ้มค่าของมูลค่าหุ้นจาก "Free Cash Flow Yield" หรือปริมาณเงินสดที่บริษัทผลิตได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายฝ่ายทุน (Capex) เพื่อประเมินว่าราคาหุ้นที่สูงนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
Yiu ระบุว่า บริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่ม Magnificent 7 กำลังซื้อขายด้วย "ราคาพรีเมียมที่สูงมาก" นับตั้งแต่เริ่มลงทุนมหาศาลใน AI เขากล่าวเสริมว่า "เมื่อผมมองไปที่มูลค่าในกลุ่ม AI แม้ผมจะเชื่อว่า AI จะเปลี่ยนโลก แต่ผมไม่ต้องการถือสถานะในกลุ่ม 'ผู้จ่ายเงิน AI' (AI spenders)" แต่เขาเลือกที่จะอยู่ "ฝั่งผู้รับเงิน" มากกว่า เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้าน AI กำลังส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของบริษัท
Julien Lafargue หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ตลาดของ Barclays Private Bank และ Wealth Management ระบุว่า "ความร้อนแรงเกินจริง" (Froth) ใน AI นั้น "กระจุกตัวอยู่ในบางส่วนมากกว่าจะกระจายไปทั่วทั้งตลาด" ความเสี่ยงที่ใหญ่กว่าอยู่ที่บริษัทที่ได้ประโยชน์จากกระแสกระทิงของ AI แต่ยังไม่สามารถทำกำไรได้จริง เช่น บริษัทที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ควอนตัมบางแห่ง ซึ่งการตัดสินใจของนักลงทุนถูกขับเคลื่อนด้วย "ความมองโลกในแง่ดี" มากกว่า "ผลลัพธ์ที่จับต้องได้"
ความจำเป็นในการแยกแยะยังสะท้อนถึงวิวัฒนาการของโมเดลธุรกิจ Big Tech จากเดิมที่เคยเป็นบริษัท "สินทรัพย์น้อย" (Asset-light) กำลังกลายเป็นบริษัท "สินทรัพย์หนัก" (Asset-heavy) จากการกว้านซื้อเทคโนโลยี พลังงาน และที่ดินเพื่อรองรับกลยุทธ์ AI
บริษัทอย่าง Meta และ Google ได้กลายสภาพเป็น "Hyperscalers" ที่ลงทุนมหาศาลใน GPU, ศูนย์ข้อมูล และผลิตภัณฑ์ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งเปลี่ยนโปรไฟล์ความเสี่ยงและโมเดลธุรกิจของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง
Dorian Carrell จาก Schroders กล่าวว่า การประเมินมูลค่าบริษัทเหล่านี้ด้วยบรรทัดฐานแบบบริษัทซอฟต์แวร์ที่ลงทุนต่ำอาจไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อบริษัทต่างๆ ยังคงต้องหาทางระดมทุนเพื่อแผน AI ของตน
ในปีนี้ กลุ่มเทคโนโลยีหันไปหาตลาดตราสารหนี้เพื่อระดมทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้นักลงทุนจะระมัดระวังเรื่องการพึ่งพาหนี้สิน แต่ Ben Barringer จาก Quilter Cheviot ชี้ให้เห็นข้อแตกต่างที่สำคัญว่า แม้ Meta และ Amazon จะระดมทุนด้วยวิธีนี้ แต่พวกเขาก็ยังมี "สถานะเงินสดสุทธิ" (Net cash positioned) ซึ่งต่างจากบริษัทที่มีงบดุลตึงตัว
Yiu ทิ้งท้ายว่า หากรายได้ส่วนเพิ่มจาก AI ไม่สามารถเติบโตแซงหน้าค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ อัตรากำไรจะถูกบีบอัด และนักลงทุนจะเริ่มตั้งคำถามถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) นอกจากนี้ ช่องว่างผลงานระหว่างบริษัทจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐานเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งผู้จ่ายเงิน AI จำเป็นต้องนำปัจจัยนี้มาคำนวณในงบกำไรขาดทุน (P&L) ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ตัวเลขทางการเงินมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น และนำไปสู่ "การแยกแยะ" ที่ชัดเจนกว่าเดิม
ที่นา https://www.cnbc.com/2025/12/25/how-the-ai-market-could-splinter-in-2026-.html
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
