ประยุทธ์ โว เอกชนญี่ปุ่นกรี๊ด อยากลงทุนไทยเพิ่ม ปลื้ม สงขลา-พัทลุง แห่ให้กำลังใจ ทำงานต่อ
“บิ๊กตู่”โว นักลงทุนญี่ปุ่นเล็งไทยตั้งฐานการผลิตหลายด้าน ปลื้มชาวสงขลา-พัทลุง แห่ให้กำลังใจรัฐบาลทำงานต่อ ยอมรับงบน้อยต้องใช้อย่างจำกัด
เมื่อเวลา 13.45น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุม ครม.เรื่องด้านการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน รายงานผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยหารือกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้าญี่ปุ่น และประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือเจโทร รวมถึงผู้บริหารองค์กรธุรกิจชั้นนำของญี่ปุ่น ผลการดำเนินการเป็นที่น่ายินดีได้กระชับความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ และมีข้อตกลงระดับทวิภาคีหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนโดยตรงสูงที่สุดในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าไทยมีแรงดึงดูดอย่างมากต่อบริษัทเอกชนของญี่ปุ่นและเขาแสดงความประสงค์จะร่วมมือลงทุนแห่งอนาคตสูงขึ้นในงานใหม่ๆหลายด้าน เช่น ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งแวดล้อม พลังงาน หรือการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนร่วมกัน และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งวันนี้เราเดินหน้าไปพอสมควรโดยการจัดงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมาก็ได้เห็นแล้ว รัฐบาลจะเอาทุกอย่างมาสานต่อทำให้ครบถ้วน และเขายินดีมีความประสงค์จะร่วมผลิตอีวีและส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอีวีในภูมิภาคด้วย รวมถึงการผลิตแบตเตอรรี่คุณภาพสูงในไทย การตั้งโรงงานเซลล์แบตเตอรรี่ และร่วมกันสนับสนุนสตาร์ทอัพในไทยด้วย รวมถึงความร่วมมือด้านยารักษาโรค การวิจัย การผลิตยา ทั้งนี้เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้พูดคุยกันถึงเรื่องความร่วมมือการค้าการเกษตรระหว่างไทยกับภูฏาน โดยจะมีการส่งออกสินค้าด้านการเกษตรไปยังภูฏานและด้านศิลปวัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ทั้งนี้ยังมีจอร์แดนที่ ครม.ได้ตกลงเห็นชอบในการจัดโครงการแลกเปลี่ยนทางศิลปวัฒนธรรมด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านอาหาร ภาพยนตร์ฟิล์ม ผ้าและการออกแบบแฟชั่น เผยแพร่ต่อยอดวัฒนธรรมไทยเพื่อสร้างอิทธิพลและอำนาจการแข่งขันที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งรัฐบาลผลักดันมาโดยตลอด และมีหลายกิจกรรม ถ้าเราเร่งผลักดันขับเคลื่อนเร่งยุทธศาสตร์เหล่านี้ให้ดี แต่ละกระทรวงช่วยกันในโครงการต่างๆก็จะสามารถต่อยอดต้นทุนทางวัฒนธรรมได้มากมาย ส่งผลให้เรามีชื่อเสียงในอีกหลายๆด้าน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้นำเสนอผลการดำเนินงานโครงการอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ที่ดูไบ ติดอันดับ 1 ใน 5 ของผู้เข้าชมสูงสุด ซึ่งมีผู้เข้าชมมากกว่า 2 ล้านราย สร้างความประทับใจและความสนใจในการมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะยุคหลังโควิดที่ไทยจะเปิดประเทศ หลายอย่างจะดีขึ้นตามลำดับ นี่คือสิ่งที่เขาประทับใจและสอดคล้องกับการลงพื้นที่จังหวัดสงขลาและพัทลุงของตนเอง ซึ่งพบว่าทุกคนมีความสุขเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะมีความหวังจากสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะการปรับมาตรการเรื่องท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางอากาศ และทางเรือ ซึ่งเราได้มีการปรับมาเป็นระยะ จนอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่น้องจังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุงที่ให้การต้อนรับตนและคณะเป็นอย่างดี และให้กำลังใจในการทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานของรัฐบาลต่อไป
“ทั้งนี้ เพื่อทำให้กิจกรรมต่างๆได้มีความต่อเนื่อง ผมได้บอกไปว่าสิ่งที่เราทำวันนี้จำเป็นต้องเอาอดีตมาดูว่าปัญหาอุปสรรคเกิดจากที่ไหนอย่างไร แล้วมาทำปัจจุบันให้สามารถคลี่คล้ายเดินหน้าไปได้ เพียงแต่ต้องหาอะไรใหม่ๆทำในปัจจุบันด้วย เพื่ออนาคตวันข้างหน้า สิ่งที่เราควรให้ความกังวลมีหลายเรื่องด้วยกันนอกจากเรื่องสุขภาพ สังคมสูงวัย การพัฒนาคุณภาพชีวิตอะไรต่างๆเหล่านี้กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติอยู่แล้ว แต่ต้องหากิจกรรมต่างๆมาทำให้สอดคล้องกับสถานการณ์และงบประมาณที่มีอยู่ ซึ่งตนได้พูดหลายครั้งแล้ว รัฐบาลพยายามใช้งบประมาณทำอย่างเต็มที่ในการดูแลประชาชน แต่ถ้าเราใช้ดูแลมากขึ้นซึ่งมากอยู่แล้ว การทำกิจกรรมอื่นๆก็จะน้อยลง เพราะเรามีงบประมาณจำกัด ดังนั้นตนพยายามจะใช้อย่างระมัดระวังที่สุด”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว