ทุนญี่ปุ่นขยายโรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ ในกัมพูชา

สื่อของกัมพูชา Khmer Times รายงานว่า ทุนจากญี่ปุ่นบริษัท MinebeaMitsumi(มินีแบ-มิตซูมิ) ผู้ผลิตชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า ยานยนต์
มินีแบ มีการผลิตสินค้าหลายประเภท เช่น ตลับลูกปืน มอเตอร์ขนาดเล็ก สำหรับฮาร์ดดิสก์และคอมพิวเตอร์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ชิ้นส่วนสำหรับหลอดไฟ LED, ชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น เซ็นเซอร์และล็อครถ, และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น เสาอากาศสำหรับรถยนต์
มินีแบ เดินหน้าตามแผนการลงทุนในกัมพูชา โดยเตรียมเปิดโรงงานแห่งที่ 4 ในจังหวัดโพธิสัตว์ในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งได้รับการยืนยันจาก นายไคนูมะ โยชิฮิสะ (Kainuma Yoshihisa) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ MinebeaMitsumi ในการประชุมร่วมกับนาย เจีย วูตี (Chea Vuthy) เลขาธิการสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา เพื่อหารือถึงความคืบหน้าทางธุรกิจของบริษัทในประเทศกัมพูชา
ผู้บริหารจาก มินีแบ ระบุว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนและภาวะท้าทายทางเศรษฐกิจในระดับโลก แต่การลงทุนของบริษัทในกัมพูชาก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่สะดุด โดยพิธีวางศิลาฤกษ์ของโรงงานในจังหวัดโพธิสัตว์ (อยู่ในภาคตะวันตกของกัมพูชา) มีขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน มินีแบฯ มีแรงงานราว 9,000 คน ซึ่งได้รับการพัฒนาทักษะในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนสำหรับยานยนต์ เพื่อรองรับการผลิตของโรงงานใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตนิคมอุตสาหกรรมพิเศษจังหวัดโพธิสัตว์ ซึ่งโครงการใช้พื้นที่กว่า 50 เฮกตาร์ และใช้งบลงทุนมากกว่า 205 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสามารถสร้างงานให้กับประชาชนในท้องถิ่นได้จำนวนมาก พร้อมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลากหลายประเภท เช่น มอเตอร์ เซนเซอร์ และอุปกรณ์แปลงพลังงาน (Actuator)
บริษัทมินีแบ ได้เริ่มเข้ามาลงทุนในกัมพูชาตั้งแต่ปี 2554 และได้ขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่โรงงานแห่งแรกถึงแห่งที่สาม ซึ่งโรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมพิเศษ Royal Group Phnom Penh (Phnom Penh SEZ) ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 725 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโรงงานแห่งที่ 4 ซึ่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมพิเศษจังหวัดโพธิสัตว์ ขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างตัวอาคารใกล้เสร็จสมบูรณ์ และอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต โดยมีแผนเริ่มเดินสายการผลิตในเดือนตุลาคมนี้
การลงทุนของ Minebea ในกัมพูชา เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การขยายฐานการผลิตของบริษัทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นหนึ่งในบรรดาบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะค่ายรถญี่ปุ่น เช่น Honda, Toyota ที่เข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้แล้ว
MinebeaMitsumi มีบริษัทในเครือ คือ บริษัท Minebea (Cambodia) โดยบริษัทดังกล่าวมีการ นำเข้าสินค้าจากประเทศไทย(ไทยก็มีการลงทุนจากมินีแบ) เช่น ชิ้นส่วนมอเตอร์ / มอเตอร์ขนาดเล็ก /ตลับลูกปืน และชิ้นส่วนกลไกขนาดเล็ก พลาสติกฉีดขึ้นรูป pressed parts และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญ ของไทย แสดงความเห็นว่าหลังเกิดกัมพูชาเกิดข้อพิพาทกับไทย ผลต่อการลงทุนกัมพูขามี 2 เรื่องสำคัญ คือ
1. แม้จะเกิดปัญหาชายแดนและความไม่แน่นอนในระดับภูมิภาค แต่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เช่น MinebeaMitsumi จากญี่ปุ่น ยังคงลงทุนในกัมพูชา โดยมีแผนเปิดโรงงานแห่งที่ 4 แสดงให้เห็นว่า กัมพูชายังคงมีศักยภาพในฐานะหนึ่งในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในจังหวัดโพธิสัตว์ ซึ่งที่ผ่านมาเริ่มดึงดูดการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ โดย การค้าและห่วงโซ่อุปทานระหว่างไทยกับกัมพูชายังคงมีบทบาทสำคัญต่อกันและกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทั้งในเชิงโลจิสติกส์และการผลิตร่วมระหว่างสองประเทศ
2. ผลกระทบโดยตรงต่อระบบโลจิสติกส์ของทั้งบริษัทท้องถิ่นและข้ามชาติ โดยเฉพาะบริษัทที่พึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วน วัตถุดิบ หรือสินค้าที่เกี่ยวเนื่องจากไทย มีการเปลี่ยนเส้นทางจากทางบกไปยังเส้นทางทางทะเลหรือผ่านประเทศที่สาม แต่ก็ก่อให้เกิดทั้งต้นทุนที่สูงขึ้น ความล่าช้า และปัญหาในการวางแผนการผลิต
ถ้าดูแนวโน้มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ในปี 2568 จากร้อยละ 6.1 เหลือร้อยละ 4.9 และในปี 2569 จากร้อยละ 6.2 เหลือร้อยละ 5
ตรงนี้ สะท้อนถึงความท้าทายที่เกิดจากความตึงเครียดในปัญหาชายแดนกับประเทศไทย และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับตลาดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา
รายงานของ ADB ระบุว่า เศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งจนถึงปี 2569 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง และการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ
ภาคการผลิตยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ โดยการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และสินค้าเดินทางในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าของผู้ซื้อในสหรัฐฯ ซึ่งเร่งดำเนินการท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากกัมพูชา แม้ว่าความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่คาดว่าการผลิตทั้งในและนอกภาคเครื่องนุ่งห่มจะยังคงขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลดภาษีนำเข้าสินค้ากัมพูชาในสหรัฐฯ ลงร้อยละ 19 จากเดิมระบุว่าจะเก็บภาษีร้อยละ 36
แม้กัมพูชาจะเผชิญแรงกดดันจากภายนอก แต่เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี โดยเฉพาะจากภาคอุตสาหกรรม การส่งออกที่ขยายตัว และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจอย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือการพึ่งพาตลาดส่งออกและนักท่องเที่ยวจากบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ และจีน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากภายนอกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
