รู้จัก “หลี่ เฉียง” นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของจีน
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า จีนเตรียมแต่งตั้ง นายหลี่ เฉียง วัย 63 ปี คนสนิทของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจีน อย่างเป็นทางการ แทนที่ นายหลี่ เค่อเฉียง ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
สำหรับประวัติ นายหลี่ เฉียง เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำมณฑลเจ้อเจียง ในระหว่างที่นายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ประจำมณฑลเจ้อเจียง เมื่อปี 2547-2550 และเป็นคนที่นายสี จิ้นผิง ให้ความไว้วางใจมากที่สุด
นักวิเคราะห์ มองว่า การแต่งตั้ง นายหลี่ เฉียง ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีจีน หรือ เรียกได้ว่าเป็นผู้บริหารระดับสูง อันดับ 2 รองจาก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั้น ถือว่ามีข้อดีคือ ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากผู้นำจีน แต่ก็เป็นช่องโหว่ในบางเรื่อง จากกรณีที่นายหลี่ เฉียง เคารพและเกรงใจผู้นำจีนมากเกินไป ทำให้อาจมีผลต่อการทำหน้าที่
ด้าน นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง แถลงรายงาน การปฏิบัติงานของรัฐบาล ในพิธีเปิดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ เมื่อวานนี้ ซึ่ง เป็นการแถลงครั้งสุดท้าย ก่อนพ้นวาระการดำรงตำแหน่ง โดยกำหนดเป้าการเติบโตของจีดีพีไว้ ที่ร้อยละ 5
นอกจากนี้ ประกาศว่า จีนจะดำเนินความพยายามให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดความสนใจและใช้เงินทุนจากต่างชาติ ด้วยการขยายการเปิดตลาด และโอกาสช่องทางการเข้ามา สำหรับนักลงทุนต่างชาติ
ซาอุฯปรับขึ้นราคาน้ำมันในเอเชีย-ยุโรป เม.ย. นี้
ทั้งนี้ สัญญาณการดีดตัวทางเศรษฐกิจในจีน ก่อให้เกิดการคาดหมายว่า ความต้องการน้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยจีนกำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 5 ในปีนี้ ทำให้ ซาอุดี อารามโค ซึ่ง เป็นบริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบ Arab Light สำหรับเอเชีย ในเดือนเมษายน นี้ ซึ่งเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน โดยซาอุดี อารามโค ปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น บาร์เรลละ 2.50 ดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเพิ่มขึ้น 50 เซนต์จากราคาในเดือนมีนาคม
ขณะที่ ราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า ปรับตัวลงเล็กน้อยในปีนี้ โดยบรรดาเทรดเดอร์ และผู้บริหารด้านพลังงาน คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบอาจเพิ่มขึ้นถึง บาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจของจีน จะฟื้นตัวขึ้น หลังจากการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโควิด-19 และเงินเฟ้อในประเทศขนาดใหญ่ปรับตัวลง
ส่วนราคาน้ำมันสำหรับสหรัฐฯ ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ราคาสำหรับยุโรปเหนือ และยุโรปตะวันตก รวมถึงแถบเมดิเตอร์เรเนียน พุ่งขึ้นมาก ถึงบาร์เรลละ 1.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ