รีเซต

เจ้าพ่อ AI เตือน AI จะฉลาดกว่าคน ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงถ้าพัฒนาแบบไม่ระวัง

เจ้าพ่อ AI เตือน AI จะฉลาดกว่าคน ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงถ้าพัฒนาแบบไม่ระวัง
TNN ช่อง16
2 พฤษภาคม 2566 ( 16:32 )
116
เจ้าพ่อ AI เตือน AI จะฉลาดกว่าคน ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงถ้าพัฒนาแบบไม่ระวัง

เจ้าพ่อ AI กับการพัฒนา AI

เจฟฟรีย์ ฮินตัน (Geoffrey Hinton) บุคคลที่ได้รับการขนามนามว่าเป็น "เจ้าพ่อ AI"  (The Godfather of AI) ได้ลาออกจากกูเกิล (Google) หลังทำงานร่วมพัฒนาปัญญาประดิษฐ์มาตั้งแต่ปี 2012 และออกสื่อเพื่อเตือนว่าภัยจากเอไอนั้นจะมาเร็วกว่าที่ทุกคนคาดไว้ ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดที่มากกว่ามนุษย์และวิธีคิดที่ยังไม่มีวิธีรับมืออย่างสมบูรณ์แบบในตอนนี้


เจฟฟรีย์ ฮินตัน หรือเจ้าพ่อเอไอ มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้พัฒนาแบ็กพรอพพาเกชัน (Backpropagation) วิธีถ่ายทอดข้อผิดพลาดของค่ากำหนดย้อนหลังเพื่อปรับเวท (Weight - หรือค่ากำหนดในการใช้อัลกอริทึม) ของโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) ใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง (เปรียบเปรยเหมือนกับการที่มนุษย์เรียนรู้จากงานในอดีตและวางแผนในการทำงานใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ซึ่งเป็นชิ้นงานสำคัญที่ทำให้เขาสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกด้านปัญญาประดิษฐ์จากมหาวิทยาลัยโทรอนโต (University of Toronto) ในแคนาดาเมื่อปี 1978


หลักการแบ็กพรอพพาเกชัน (Backpropagation) ได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของอัลกอริทึม (Algorithm) หรือวิธีเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นหัวใจสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกในวันนี้ และทำให้เขาได้เริ่มทำงานพาร์ทไทม์ (Part-time) ให้กับกูเกิล (Google) บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมาตั้งแต่ปี 2012 เพื่อช่วยพัฒนาสมองกูเกิล (Google Brain) ปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยมานับแต่นั้น ทำให้เขาได้รับฉายาเจ้าพ่อเอไอในเวลาต่อมา


ที่มารูปภาพ Reuters

 


การลาออกจาก Google ของเจ้าพ่อ AI

เจ้าพ่อเอไอได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อดังทั้งเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส (The New York Times) และซีเอ็นบีซี (CNBC) ที่ส่งกระทบอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่เจ้าพ่อเอไอตกเป็นข่าวลาออกจากกูเกิล โดยเขาได้ออกมาชี้ให้นิวยอร์กไทม์สฟังว่า ในอนาคตมนุษย์จะแพ้ความฉลาดของเอไอในอนาคตอันใกล้นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 30-50 ปี 


พร้อมกันนี้ เขาได้เล่าให้ซีเอ็นบีซีฟังว่า “ถ้าผมสร้างตัวตนดิจิทัล 1,000 ตัวตน ที่มีความรู้พื้นฐานต่างกัน ขอเพียงแค่ตัวเดียวที่เรียนรู้ได้ ทั้งหมดก็จะเรียนรู้ได้พร้อมกันทันที เพราะพวกมันแชร์เวท (Weight) ให้กัน” ซึ่งจุดนี้ต่างจากมนุษย์ที่มีองค์ความรู้และวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันและไม่สามารถส่งต่อความรู้กันได้โดยทันที ทำให้กระบวนการพัฒนาองค์ความรู้ของปัญญาประดิษฐ์นั้นเร็วกว่ามนุษย์อย่างมหาศาล


เครดิต Unsplash

 

ตัวอย่างผลกระทบจาก AI ที่เจ้าพ่อ AI กังวล

ผลลัพธ์จากกระบวนการเรียนรู้ที่ใกล้ตัวอย่างคาดไม่ถึงก็คือ ด้วยฟีเชอร์ต่าง ๆ จากปัญญาประดิษฐ์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพ เทคโนโลยีดีปเฟค (Deepfake) ข้อมูลที่ถูกป้อนจากแชตบอตอย่างแชตจีพีที (ChatGPT) และบาร์ด (Bard) จากกูเกิล ทั้งหมดนี้กำลังหลั่งไหลเข้าสู่อินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งวันหนึ่งเราอาจต้องตั้งคำถามว่า ข้อมูลบนโลกยังเหลือสิ่งใดบ้างที่เป็นข้อเท็จจริงท่ามกลางข้อมูลที่มาจากการสังเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์


เจฟฟรีย์ ฮินตัน หรือเจ้าพ่อเอไอเคยออกมากล่าวในปี 2021 ว่าการเร่งการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์นั้นอาจนำไปสู่ทิศทางการเติบโตที่ขาดแผนรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงได้

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้ลาออกจากกูเกิลมาเพื่อให้สัมภาษณ์โจมตีแต่อย่างใด แต่เป็นการลาออกจากความเคารพในบริษัทเนื่องจากไม่อยากให้การพูดของตนนั้นกระทบต่อชื่อเสียงบริษัท แต่อย่างไรก็ดี กูเกิลได้สูญเสียบุคลากรอันทรงคุณค่าในโครงการพัฒนาสมองกูเกิล (Google Brian) ไป หลังจากที่ทุ่มงบประมาณไปกว่า 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท ในการเข้าซื้อบริษัทที่เจฟฟรีย์ ฮินตันและลูกศิษย์ตั้งขึ้นมาในปี 2012 เพื่อพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ไปก่อนหน้านี้


ที่มารูปภาพ University of Toronto

 

ทั้งนี้ เจฟฟรีย์ ฮินตัน ได้กล่าวทิ้งท้ายในการสัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์สว่า 

“ผมคิดว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยควรชะลอการพัฒนาเอไอไปก่อน จนกว่าจะรู้ว่าเรานั้นไม่ได้เล่นกับไฟอยู่”


ที่มาข้อมูล New York Times, CNBC, CNN

ที่มารูปภาพ Reuters

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง