“พิชัย”ชงครม.เคาะสัปดาห์หน้า มาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-receipt กระตุ้นใช้จ่ายต้นปี 68
“พิชัย”ชงครม.เคาะสัปดาห์หน้า มาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-receipt วงเงิน 5 หมื่นบาท กระตุ้นใช้จ่ายต้นปี 68 พร้อมเสนอกรอบเป้าหมายการบริหารเงินเฟ้อปี 68 ระบุ อยากเห็นเงินเฟ้อขยายตัวที่ 2% หวังหนุนค่าเงินบาทอ่อนค่า
#ทันหุ้น นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเปิดงาน Monney Expo 2024 ว่า กระทรวงการคลัง เตรียมที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการ easy e-receipt ที่ให้ผู้เสียภาษีสามารถนำรายจ่ายในการซื้อสินค้า มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 5 หมื่นบาท โดยคาดว่า มาตรการนี้จะสามารถเริ่มใช้ได้ในเดือนมกราคมปี 2568
ขณะเดียว กระทรวงการคลังเตรียมเสนอกรอบเป้าหมายการบริหารเงินเฟ้อในปี 2568 ที่ระดับ 1-3%โดยกระทรวงการคลังเองอยากเห็นอัตราเงินเฟ้อขยายตัวที่ 2% ซึ่งการมีเงินเฟ้อในระดับที่เหมาะสมจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจมากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ กนง.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของปีนี้จะอยู่ที่ 0.4 % และคาดว่าในปีหน้าจะอยู่ที่ 1.1%
“อยากเห็นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยอยู่กึ่งกลางของ กรอบเงินเฟ้อที่ต่ำไว้ที่ 1-3% หรือคิดว่าอยู่ในระดับ 2 % น่าจะเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยในขณะนี้”
นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่า อยากเห็นค่าเงินบาทอ่อนลงกว่าปัจจุบัน ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายมองว่าค่าเงินบาทของไทยในขณะนี้ สามารถอ่อนลงได้มากกว่านี้
เขากล่าวว่า การที่เราจะดูว่าค่าเงินของเราสามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นๆหรือไม่นั้น เราจำเป็นต้องว่า ไทยส่งสินค้าไปขายในตลาดใดของโลกบ้าง และคู่แข่งขันของเราในตลาดนั้นๆ มีการใช้มาตรการอะไรบ้างในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนนั้นเราต้องดูในระยะยาวและดูวิวัฒนาการของมันด้วย
เขายังกล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ว่า คาดว่าในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ในระดับ 4 % ทำให้ทั้งปีนี้ จีดีพี ไทยอาจขยายตัวได้ 2.7-2.8% สูงขึ้นกว่าปี 2566 ที่ขยายตัวเพียง 1.9 %
สำหรับปี2568 นั้น คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ 3 % ถึง 3.5%โดยได้รับการผลักดันจากภาคท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในปีหน้าประมาณ 39.9 ล้านคน สูงกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะเข้ามา 36 ล้านคน รวมถึง ได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการบริโภคที่สูงขึ้นด้วย และภาคส่งออกที่ขยายตัว
นอกจากนั้นในปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุน โดยเฉพาะที่เข้ามาผ่านช่องทาง BOI ซึ่งบริษัทที่ขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI วันนี้ จะมีการใช้เงินลงในอีก 3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน ตนก็จะพยายามแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนใน เขต EEC ด้วย
“เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว เม็ดเงินที่เคยเป็นสภาพคล่อง ก็จะไหลออกเพื่อนำไปลงทุน ซึ่งผมมองว่า ขณะนี้เราอยู่ท่ามกลางความหวังที่มองเห็นชัดขึ้น” นายพิชัย กล่าว
เขายังกล่าวถึงการปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้รายย่อย ที่มีมูลหนี้รวมกันกว่า 8 แสนล้านบาท ว่า การพักดอกเบี้ยให้กับคนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีคนมาลงทะเบียนแล้วประมาณแสนกว่าราย ซึ่งการพักดอกเบี้ย 3 ปีหากลูกหนี้ทำตามเงื่อนไขที่กำหนด จะได้รับการยกดอกเบี้ยให้ ซึ่งจะเป็นภาระดอกเบี้ยที่ยกให้รวมกันราว 2 แสนล้านบาท และจะทำให้ยอด NPL ในระบบสถาบันการเงินค่อยๆลดลง
นอกจากนี้ สถาบันการเงินของรัฐ ก็จะเข้ามาช่วยเหลือลูกหนี้ของตนเอง ด้วยการลดหรือพักดอกเบี้ย ซึ่งจะใช้เม็ดเงินราว 7 -8พันล้านบาทต่อปี และสถาบันการเงินของรัฐ จะให้ Soft loan แก่ Non bank เพื่อให้ Non bank มีเงินทุนไปปล่อยกู้ต่อ