รีเซต

"ทรัมป์" เล็งแจกเงินชาวอเมริกัน สูงสุดคนละกว่า 6 หมื่นบาท

"ทรัมป์" เล็งแจกเงินชาวอเมริกัน สูงสุดคนละกว่า 6 หมื่นบาท
TNN ช่อง16
6 ตุลาคม 2568 ( 11:30 )
13

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า รายได้จากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรกำลังเริ่มเข้าสู่คลังสหรัฐ ซึ่งในที่สุดอาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ขณะที่บางส่วนของเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ชำระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งอาจสูงถึง 38 ล้านล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ “ทรัมป์”กล่าวว่า รัฐบาลของเขากำลังพิจารณานำรายได้จากภาษีศุลกากรมาจ่ายคืนในรูปเช็คให้แก่ชาวอเมริกัน โดยเขาระบุว่า “รัฐบาลอาจจะจ่ายคืนให้แก่ประชาชน เหมือนเป็นเงินปันผลสำหรับชาวอเมริกัน โดยอาจจะอยู่ที่ราว 1,000-2,000 ดอลลาร์ต่อคน หรือราว 32,410-64,820 บาท ซึ่งมันคงจะยอดเยี่ยมมาก" 

อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐฯ ยังต้องเผชิญความเสี่ยง ที่อาจจะต้องคืนภาษีนำเข้าเหล่านี้ หากศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ตัดสินว่ามาตรการ “ภาษีตอบโต้” (reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ชอบด้วยกฏหมายตามที่ศาลอุทรณ์ได้ตัดสินก่อนหน้านี้ 

โดยก่อนหน้านี้ "สก็อตต์ เบสเซนต์" ระบุในถ้อยแถลงที่ยื่นต่อศาลฎีกาว่า มูลค่าภาษีที่รัฐบาลอาจต้องคืนมีตั้งแต่ 750,000 ล้านดอลลาร์ ไปจนถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงรายได้ภาษีกว่า 72,000 ล้านดอลลาร์ที่สำนักงานศุลกากรและป้องกันพรมแดนสหรัฐจัดเก็บไว้ตั้งแต่ทรัมป์ประกาศ “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) ตามข้อมูล ณ วันที่ 24 ส.ค. และยังรวมถึงรายได้ที่จะเก็บเพิ่มจากภาษีที่สุ่มเสี่ยงจนถึงเดือนมิถุนายนปีหน้า

“เบสเซนต์” กล่าวว่า การยกเลิกภาษีเหล่านี้อาจสร้างความปั่นป่วนอย่างมากพร้อมย้ำว่าการให้ศาลฎีกาตัดสินโดยเร็ว จะช่วยลดจำนวนเงินที่รัฐบาลอาจต้องคืน หากสุดท้ายภาษีถูกชี้ว่าผิดกฎหมาย อย่างไรก็ดี เขามั่นใจว่ารัฐบาลทรัมป์จะสามารถโน้มน้าวศาลฎีกาให้กลับคำตัดสินของศาลอุทรณ์ได้ แต่ก็ยอมรับว่าหากศาลฎีกาสั่งให้คืน “เราก็ต้องทำ และนั่นจะเป็นหายนะครั้งใหญ่”

"บิตคอยน์" พุ่งทุบสถิติสูงสุดใหม่ แนวต้านถัดไป 130,000 ดอลลาร์

"บิตคอยน์" เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในทิศเดียวกันกับสินทรัพย์อื่นๆ ล่าสุด ราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ และกำลังเดินหน้าเข้าสู่แนวต้านสำคัญที่ 130,000 ดอลลาร์

ราคา "Bitcoin" ที่ซื้อขายบนกระดาน coinbase พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 125,725 ดอลลาร์ และสูงกว่า 4,000,000 บาทเป็นครั้งแรก สำหรับการซื้อขายเป็นเงินบาท โดยแรงซื้อที่ดันราคาพุ่งขึ้นมาในรอบนี้ คาดว่าเกิดจากกองทุน Spot Bitcoin ETF แบบ Spot ของสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวอย่างน่าทึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพบว่ามีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 3,240 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการไหลเข้าสูงสุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมกราคมปีที่แล้ว ซึ่งตัวเลขที่สำคัญนี้แสดงให้เห็นถึงการกลับตัวครั้งใหญ่ถึง 4,140 ล้านดอลลาร์ จากการไหลออกในสัปดาห์ก่อน

ในขณะที่กองทุน IBIT ของ BlackRock ครองตลาดโดยดึงดูดเงินทุน 1,800 ล้านดอลลาร์ จากยอดรวมรายสัปดาห์ และยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ตามมาด้วย FBTC ของ Fidelity ที่ดึงดูดเงินทุน 692 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ตลาด Crypto ETF ในวงกว้างยังแสดงความแข็งแกร่ง โดยกองทุน Spot Ethereum ETF ก็ฟื้นตัวและมีเงินทุนไหลเข้า 1,300 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ซึ่งโมเมนตัมเหล่านี้ บ่งชี้ถึงความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่กลับมาอีกครั้งในภาคส่วนนี้

รายงานของ Bloomberg News ระบุว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีส่วนสนับสนุนราคาบิตคอยน์ โดยบริษัทโบรกเกอร์คริปโทฯ ระบุว่า ในเมื่อสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ทองคำต่างทำสถิติสูงสุดใหม่ ก็ไม่น่าแปลกใจที่บิตคอยน์จะได้รับแรงหนุนจากกระแสการลดลงของค่าเงินดอลลาร์

ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า ราคาบิตคอยน์ที่พุ่งแรงครั้งนี้ มีโอกาสผลักดันให้บิตคอยน์ก้าวเข้าสู่เขต Price Discovery เหนือระดับ 125,500 ดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าตลาดรวมของคริปโทเคอร์เรนซี ก็พุ่งทะยานเกิน 4,210,000 ล้านดอลลาร์แล้ว อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เสริมว่า แม้แรงซื้อยังแข็งแรง แต่ก็มีคำสั่งขายขนาดใหญ่กระจุกอยู่แถว 130,000 ดอลลาร์ ทำให้ระดับนั้นกลายเป็นแนวต้านสำคัญ

“ญี่ปุ่น” ได้ว่าที่นายกฯหญิงคนแรก ตลาดจับตา BOJ อาจชะลอขึ้นดอกเบี้ย

ไปดูการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น เพราะกำลังจะได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศและการมาของเธอ ยังอาจจะกดดันให้BOJ ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ด้วย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า “ซานาเอะ ทาเคอิจิ”อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในของญี่ปุ่นกำลังจะเป็นก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น และกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศหลังเธอชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP)เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

โดยหัวหน้าพรรค LDP คนใหม่ซึ่งจะดำรงตำแหน่งจนถึงปี 2570 มีแนวโน้มจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่นภายในเดือนนี้ เนื่องจากรัฐบาลผสมเสียงข้างน้อยกับพรรคร่วมโคเมโตะยังคงเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากที่สุดในสภา ขณะที่พรรคฝ่ายค้านยังไม่สามารถรวมตัวกันได้

อย่างไรก็ดี ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีความโดดเด่นในฐานะผู้สนับสนุนคนเดียวที่เสนอนโยบายการใช้จ่ายขนาดใหญ่และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายดังนั้นโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะหลีกเลี่ยงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมนั้น จึงมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น 

หลังจากชนะการเลือกตั้ง “ทาเคอิจิ” ได้แสดงความชัดเจนว่ารัฐบาลจะเป็นผู้นำในการกำหนดนโยบายการคลังและการเงิน ซึ่งสิ่งที่เธอให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก คือการกระตุ้นอุปสงค์และเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ “ทาเคอิจิ” ยังอธิบายว่าการขึ้นราคาในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และเตือนว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงชัยชนะเหนือภาวะเงินฝืด เนื่องจากบริษัทต่างๆ เริ่มรู้สึกถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ รัฐสภาญี่ปุ่นคาดว่าจะลงคะแนนเสียงเลือกหัวหน้าพรรคแอลดีพีคนใหม่ที่มีจุดยืนชาตินิยมอนุรักษ์นิยมเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 ตุลาคม เนื่องจากพรรคแอลดีพีของเธอเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง