"ญี่ปุ่น" เจอแรงกระแทกครั้งใหญ่ "จีน" ตอบโต้หนัก ปมคำพูดนายกฯ แทรกแซง “ไต้หวัน” ลามถึงเศรษฐกิจ

"ญี่ปุ่น" กับแรงกระแทกครั้งใหญ่ "จีน"ตอบโต้หนัก ปมคำพูดนายกฯ แทรกแซง “ไต้หวัน” ลามการค้า-เศรษฐกิจ เสี่ยงรายได้ท่องเที่ยววูบกว่า 1.49 ล้านล้านเยน
จับตาความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น ที่ส่อว่าจะร้าวฉานหนัก บานปลาย ลุกลามไปถึงเศรษฐกิจแล้ว จากจุดเริ่มต้นคำพูดของนายกฯหญิงญี่ปุ่น ที่จีนมองว่าเป็นการแทรกแซงจีนเรื่องไต้หวัน และผลที่ตามมา คือ จีนสั่งแบนการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น เตือนคนจีนไม่ให้มาเที่ยว และหากยังจบเรื่องนี้ไม่ได้ เราคงจะได้เห็นมาตรการใหม่ๆ ออกมาอีกแน่นอน
"จีน-ญี่ปุ่น" ร้าวฉาวรอบนี้สาเหตุเกิดจากอะไร?
ตัวต้นเรื่องของเหตุการณ์ จีน ญี่ปุ่น สัมพันธ์สั่นคลอน มาจากการที่ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่น ซึ่งเพิ่งขึ้นมาเป็นผู้นำญี่ปุ่นได้ไม่นาน ได้พูดประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน โดยสื่อว่าการโจมตีไต้หวันของจีน คุกคามความอยู่รอดของญี่ปุ่น อาจนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารได้
คำพูดดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ระหว่างการพิจารณางบประมาณในรัฐสภาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายที่เธอถูกซักถามโดยสมาชิกรัฐสภา โดยมีเนื้อหาใจความว่า หากไต้หวันถูกจู่โจมทางกองเรือหรือการใช้กำลังทางทหาร อาจกลายเป็นสถานการณ์ที่คุกคามการเอาตัวรอดของญี่ปุ่น (a “survival-threatening situation”) และญี่ปุ่นมีทางเลือกในการใช้กำลังตอบโต้ได้ในกรณีดังกล่าวตามกฎหมายความมั่นคงของญี่ปุ่น ซึ่งไต้หวันนั้นอยู่ห่างจากเกาะญี่ปุ่นที่ใกล้ที่สุดเพียงแค่ประมาณ 100 กิโลเมตรเท่านั้น
โดยทาคาอิจิได้แถลงว่าคำพูดดังกล่าวนั้นเป็นการกล่าวแบบ “สมมุติฐาน” (hypothetical) และหน่วยงานรัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่าจุดยืนของญี่ปุ่นเกี่ยวกับไต้หวันนั้นยังคง “ไม่เปลี่ยนแปลง” จากนโยบายเดิม แต่อย่างไรก็ตามทางการจีนไม่คิดเช่นนั้น และได้ออกมาประท้วงอย่างรุนแรง โดยระบุว่าคำพูดของผู้นำญี่ปุ่นนับเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน พร้อมเรียกร้องให้ญี่ปุ่น “ถอนคำพูดดังกล่าว” มิฉะนั้น ญี่ปุ่นจะต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นั้นทางการจีนได้ตอบโต้ทันที ด้วยการออกประกาศแนะนำหรือคำเตือนประชาชนให้ “หลีกเลี่ยง” การเดินทางไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่นและศึกษาต่อในญี่ปุ่น โดยระบุว่า จากถ้อยคำที่ก้าวร้าวเกี่ยวกับไต้หวันอย่างโจ่งแจ้ง ของผู้นำญี่ปุ่น ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น และภายใต้สถานการณ์นี้นับเป็นความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยและชีวิตของพลเมืองจีนที่อยู่ภายในประเทศญี่ปุ่น
ผลกระทบตามมาทันทีหลังจากมีความเคลื่อนไหวจากทางการจีน โดยเฉพาะตลาดหุ้น ในเช้าวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวและค้าปลีกของญี่ปุ่นร่วงลงไปตามๆกัน สังเวยความขัดแย้งทางการทูตระหว่างสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นบริษัทเครื่องสำอางรายใหญ่ ชิเซโด หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า ทากาชิมายะ บริษัทแพน แปซิฟิก ซึ่งอยู่เบื้องหลังเครือร้าน "ดองกิโฮเต้" หุ้นของอิเซตัน มิตซูโกชิ ผู้ดำเนินการห้างสรรพสินค้าที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ก็ดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี
รวมไปถึงผู้ให้บริการ Tokyo Disneyland อย่าง Oriental Land ผู้บริหารแบรนด์มูจิ อย่างเรียวฮิน เคคากุ และสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส นอกจากนี้ และมีรายงานว่า ดัชนีนิคเคอิ ลดลง 0.7%
ข้อมูลจากองค์การการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JNTO) รายงานว่านักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มที่เป็นกำลังสำคัญของภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น โดยล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนถึงประมาณ 24% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด เป็นรองเพียงแค่นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันก็มีรายงานที่แหล่งข่าวระบุว่ารัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่งได้ออกประกาศให้พนักงานหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มบริษัทการลงทุน ธนาคาร และโบรกเกอร์
นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยโนมูระ ประเมินว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจสูญรายได้ราว 1.49 ล้านล้านเยน (ประมาณ 9.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงปีหน้า หากนักท่องเที่ยวจีนยังคงเลี่ยงการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ท่ามกลางความตึงเครียดทางการทูตเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน
ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวมาจากสมมติฐานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนอาจลดลง 25% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับที่เคยลดลงเมื่อปี 2555 หลังรัฐบาลจีนออกคำเตือนให้พลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น จากกรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่นซื้อเกาะร้าง 3 เกาะในหมู่เกาะเซ็นกากุ หรือเกาะเตียวหยู ที่เป็นพื้นที่พิพาททางทะเลกับจีน
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นอาจจะสูญรายได้ราว 2.9 แสนล้านเยน จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากฮ่องกง พร้อมระบุว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะมีนัยสำคัญ
จีนเดินหน้าประกาศมาตรการตอบโต้ สะเทือน "เศรษฐกิจญี่ปุ่น"
เรื่องราวไม่จบแค่การเดินทางและการท่องเที่ยวข้ามประเทศ ล่าสุด “จีน” ก็ได้ยกระดับตอบโต้ “ญี่ปุ่น” ด้วยการสั่งแบนการนำเข้าอาหารทะเล ทั้งนี้เพิ่งมีการยกเลิกการแบนดังกล่าวไปไม่นาน
ทางการจีนได้แจ้งต่อทางการญี่ปุ่นว่าจะระงับการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น โดยอ้างว่าญี่ปุ่นยังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการกลับมาส่งออกอาหารทะเล เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาหลายปีจีนได้สั่งแบนอาหารทะเลของญี่ปุ่น นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เนื่องจากต่อต้านการที่ประเทศญี่ปุ่นที่ปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก แต่กระทั่งล่าสุดเดือนมิถุนายน 2568 ทั้งสองฝ่ายกลับมาเชื่อมสัมพันธ์ หลังจากเกิดภาวะสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และได้มีการตกลงกันว่าจีนจะกลับมานำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นแบบค่อยเป็นค่อยไปอีกครั้ง และญี่ปุ่นก็ได้กลับมาส่งออกอาหารทะเลไปยังจีนเป็นครั้งแรกเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และสุดท้ายผ่านไปแค่ไม่กี่วันก็ต้องอกหัก ก็ต้องกลับมาเข้าสู่วงจรเดิมอีกครั้ง คือ ส่งออกอาหารทะเลทุกชนิดจากญี่ปุ่นไปยังจีนไม่ได้
ทางด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน "เหมา หนิง" เตือนว่าหากญี่ปุ่นยังไม่ถอนถ้อยแถลงของทาคาอิจิเกี่ยวกับไต้หวัน จีนจะเดินหน้าดำเนินมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงต่อไป
นอกจากนี้ทางสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่าจีนยังระงับการหารือเกี่ยวกับการกลับมานำเข้าเนื้อวัวจากญี่ปุ่น นอกจากนี้หน่วยงานกำกับดูแลของจีนยังหยุดการอนุมัติภาพยนตร์ญี่ปุ่นใหม่ และสั่งระงับภาพยนตร์อีก 6 เรื่องที่ได้รับอนุมัติไปแล้วและมีกำหนดฉายแล้วด้วย
พร้อมกันนี้ก็มีความกังวลว่าจีนอาจใช้นโยบายการค้ากดดันญี่ปุ่นอีกครั้ง เช่นเดียวกับในอดีตที่เคยกดดันญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะในกรณีพิพาทอาณาเขตเมื่อกว่า 10 ปีก่อนที่จีนเคยระงับการส่งออกแร่หายาก โดยทางประธานสภาการค้าต่างประเทศญี่ปุ่น ทัตสึโอะ ยาซุนางะ กล่าวเมื่อวันพุธว่า “เราไม่สามารถมองข้ามความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะขาดแคลนแร่หายากรอบใหม่ได้” พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการที่เหมาะสม
จีน ญี่ปุ่น และความเปราะบางของประเด็นไต้หวัน เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก สะเทือนเศรษฐกิจ ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
