จีนเสี่ยงเงินฝืดเพิ่มขึ้นจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ

เว็บไซต์ CNBC รายงานว่า มาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงจะกระทบต่อสินค้าจีนจำนวนมาก ซึ่งแม้รัฐบาลจีนจะสนับสนุนให้บริษัทจีนนำสินค้าส่งกลับไปขายในประเทศแทน แต่ก็จะทำให้เสี่ยงกับภาวะเงินฝืดมากขึ้น
ทางการท้องถิ่นและบริษัทอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีนหลายแห่งสนับสนุนผู้ส่งออกให้นำสินค้ากลับไปขายในบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษี อาทิ JD.com, เทนเซ็นต์ และโต่วอิน ของค่ายไบต์แดนซ์ เจ้าของ “ติ๊กต็อก” (TikTok)
อย่างกรณีของ JD.com ที่จะสนับสนุนงบ 2 แสนล้านหยวน หรือ 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยผู้ส่งออก และเพิ่มพื้นที่เฉพาะในแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับสินค้าที่เดิมตั้งใจจะส่งออกไปสหรัฐฯ พร้อมกับมีส่วนลดสูงสุดถึงร้อยละ 55
“หยิง เค่อ-โจว” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านจีนจาก “บาร์เคลย์ส แบงก์” ระบุว่า สินค้าจำนวนมากที่ทะลักเข้าตลาดจีนแทนที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ ในราคาที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทและการจ้างงาน ซึ่งความไม่แน่นอนเรื่องการจ้างงานและความกังวลเกี่ยวกับรายได้ก็จะนำไปสู่ความต้องการบริโภคที่ลดลง
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ ในจีนขยับลดลงอยู่ในแดนลบติดกันในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม หลังจากอยู่เหนือระดับศูนย์ในปี 2566-2567 ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า ในเดือนมีนาคมก็ลดลงร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบรายปี มากสุดในรอบ 4 เดือน และลดลงต่อเนื่อง 29 เดือน
“มอร์แกน สแตนเลย์” ประเมินว่า ผลกระทบจากกำแพงภาษีจะทำให้คำสั่งซื้อสินค้าจีนลดลง และผลกระทบจะรุนแรงที่สุดในไตรมาสนี้ เนื่องจากผู้ส่งออกจำนวนมากได้หยุดการผลิตและส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ
“เฉิน หมิง” ผู้อำนวยการฝ่ายลงทุนของ “แชนสัน แอนด์ โค” มองว่า ความพยายามช่วยผู้ส่งออกให้นำสินค้ากลับไปขายในตลาดจีนน่าจะเป็นมาตรการชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากสินค้าไม่สามารถเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ ทำให้ผู้ส่งออกของจีนต้องเผชิญกับความตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรลดลง ซึ่งจะนำไปสู่การปิดกิจการหรือลดขนาดธุรกิจ และกระทบต่อการจ้างงานในที่สุด
“โกลด์แมน แซคส์” ประเมินว่า มีงาน 16 ล้านตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 2 ของแรงงานจีนทั้งหมด