รีเซต

ปมค่าคลื่น 2600 ไม่จบ 'สหภาพ อสมท' ร่อนหนังสือถึง 'กสทช.' รอบสอง

ปมค่าคลื่น 2600 ไม่จบ 'สหภาพ อสมท' ร่อนหนังสือถึง 'กสทช.' รอบสอง
มติชน
12 มิถุนายน 2563 ( 15:36 )
162

ปมค่าคลื่น 2600 ไม่จบ ‘สหภาพ อสมท’ ร่อนหนังสือถึง ‘กสทช.’ รอบสอง

นายสุวิทย์ มิ่งมล ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังเข้ายื่นหนังสือต่องานสารบรรณของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่า ตามที่ กสทช. มีข้อสรุปของวงเงินเยียวยาคลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ ให้กับ อสมท จำนวน 3,235 ล้านบาท และยังมีมติถึงกำหนดการแบ่งเงินเยียวยากับบริษัทคู่สัญญา ตามหนังสือที่ทาง อสมท ส่งไปยัง กสทช. โดยนายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ที่อ้างว่า กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการชดใช้ และจ่ายค่าตอบแทน ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2563 นั้น

 

ขณะนี้ มีข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการประชุมคณะกรรมการบริหาร อสมท เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 คณะกรรมการบริษัท ไม่ได้มีมติรับรองอำนาจของนายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ตามที่กล่าวอ้าง ประกอบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ นายเทวัญ ลิปภตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงมาตรวจสอบ ข้อเท็จจริงให้ปรากฏ โดยให้ดำเนินการเรื่องเงินเยียวยา อย่างรอบคอบ โดยยึดถือประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ

 

ทั้งนี้ เพื่อความถูกต้องและรอบคอบ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท เห็นว่า ขณะนี้ กสทช. ควรดำเนินการเพียงแจ้งสรุปวงเงินเยียวยามายัง อสมท อย่างเป็นทางการ เพื่อให้คณะกรรมการบริหาร อสมท ประชุมและสรุปว่า จะตอบสนองต่อวงเงินเยียวยา และต้องมีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งมีทั้งผู้ถือหุ้นรายย่อย และกระทรวงการคลัง ผู้ถือหุ้นใหญ่ อยู่ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

 

อย่างไรก็ตาม หาก กสทช. มีมติก้าวล่วงถึงสัดส่วน การชดเชย โดยอ้างอิงเอกสารการมอบและใช้อำนาจ ที่อาจมิชอบของประธานคณะกรรมการบริษัท และนายเขมทัตต์ พลเดช แล้วเกิดข้อเท็จจริงว่า เป็นการมอบและใช้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ จนความเสียหายขึ้นภายหลัง ก็จะทำให้ กสทช. ต้องเสียหายไปด้วย

ทั้งนี้ โปรดพิจารณายืนยันวงเงินเยียวยาให้ อสมท อย่างเร่งด่วน และทบทวนมติในการกำหนดแบ่งสัดส่วนชดเชย เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ และเห็นควรรอความเห็นจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการด้วย เพื่อความรอบคอบและผลประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง