รีเซต

ทำไมเราถึงฝันร้ายและจะหยุดได้อย่างไร

ทำไมเราถึงฝันร้ายและจะหยุดได้อย่างไร
TNN ช่อง16
19 กันยายน 2568 ( 12:50 )
7

ฝันร้ายเป็นประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวและชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำความเข้าใจสาเหตุของมันสามารถช่วยให้คุณควบคุมหรือลดการเกิดฝันร้ายลงได้ CNN ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุและวิธีรับมือกับฝันร้ายไว้ เพื่อช่วยให้คุณสามารถกลับมานอนหลับได้อย่างสงบอีกครั้ง

สาเหตุหลักของฝันร้าย

ฝันร้ายไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่เป็นสัญญาณจากร่างกายและจิตใจที่บ่งบอกถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่:

ความเครียดและความวิตกกังวล: นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของฝันร้าย เมื่อคุณต้องเผชิญกับความกดดันในชีวิตประจำวัน ความกังวลเหล่านั้นอาจถูกแปลงเป็นภาพเหตุการณ์ในฝันร้ายขณะที่คุณหลับ 

ความผิดปกติของการนอนหลับ: ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) และโรคลมหลับ (Narcolepsy) สามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดฝันร้ายได้ เนื่องจากภาวะเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการนอนหลับในระยะ REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นช่วงที่เราฝัน

การเจ็บป่วยทางร่างกาย: อาการป่วยที่มีไข้สูงอาจกระตุ้นให้เกิดฝันร้ายได้ นอกจากนี้ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรืออาหารบางชนิดก่อนนอนก็อาจส่งผลต่อการนอนหลับได้เช่นกัน

ผลข้างเคียงจากยา: ยาบางชนิด เช่น ยาต้านซึมเศร้า หรือยาสำหรับควบคุมความดันโลหิต อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดฝันร้ายได้

การกระทบกระเทือนทางจิตใจ (PTSD): ผู้ที่มีประสบการณ์ร้ายแรงในอดีต เช่น อุบัติเหตุหรือการถูกทำร้าย มักจะฝันร้ายซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากความผิดปกติที่เกิดจากความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (Post-Traumatic Stress Disorder) 

5 วิธีหยุดฝันร้ายและนอนหลับอย่างสงบ

หากฝันร้ายกำลังรบกวนการพักผ่อนของคุณ ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้:

บริหารจัดการความเครียด: การฝึกโยคะ, การทำสมาธิ, การเขียนบันทึก หรือการพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลในใจได้

ปรับสุขอนามัยการนอนหลับ: สร้างตารางการนอนให้สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน รวมถึงทำห้องนอนให้มืด เงียบ และมีอุณหภูมิที่เหมาะสม

ปรึกษาแพทย์: หากฝันร้ายเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับหรือจิตแพทย์อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง

ปรับพฤติกรรมก่อนนอน: หลีกเลี่ยงการดูหนังหรืออ่านเรื่องราวที่น่ากลัวก่อนนอน และลองทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การฟังเพลงเบา ๆ หรือการอ่านหนังสือที่ไม่สร้างความเครียด

บำบัดด้วยภาพในฝัน (Imagery Rehearsal Therapy): เป็นเทคนิคที่นักบำบัดนิยมใช้ โดยให้ผู้ป่วยจินตนาการถึงฉากจบของฝันร้ายที่ต่างออกไปในตอนที่ตื่นอยู่ เพื่อให้สมองสร้างภาพจำใหม่ และสามารถควบคุมความฝันได้ดีขึ้น

การเผชิญหน้ากับฝันร้ายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคุณเข้าใจสาเหตุและรู้วิธีรับมือที่ถูกต้อง การกลับไปนอนหลับอย่างสบายใจก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง