พายุในเอเชียทวีความรุนแรง! งานวิจัยชี้ถูกเร่งพลังจาก “โลกร้อน” คร่าชีวิตกว่า 1,800 รายอย่างรวดเร็ว

หน่วยงานในอินโดนีเซียและศรีลังกายังคงเร่งค้นหาผู้สูญหายอีกหลายร้อยคน หลังน้ำท่วมและดินถล่มครั้งใหญ่ถล่มหลายพื้นที่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตในภูมิภาคเอเชียมากกว่า 1,800 คน และประชาชนอีกกว่า 1.2 ล้านคน ติดอยู่ในพื้นที่ประสบภัย
รายงานการวิเคราะห์เหตุการณ์สภาพอากาศล่าสุดระบุว่า ฝนมรสุมและพายุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในปลายเดือนพฤศจิกายน ถูก “เร่งพลัง” หรือ supercharged จากภาวะโลกร้อน โดยมีพายุหมุนเขตร้อน 2 ลูก คือ “ดิตวาฮ์” และ “เซนยาร์” ถล่มอินโดนีเซียบริเวณสุมาตราและคาบสมุทรมาเลเซียเกือบพร้อมกัน ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ และถือเป็นหนึ่งในหายนะอากาศสุดร้ายแรงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยเผชิญ
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จาก World Weather Attribution ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้พายุลักษณะนี้เกิดบ่อยขึ้นและมีปริมาณฝนมากขึ้นอย่างชัดเจน
ผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดียเหนือขณะเกิดพายุมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (ปี 1991–2020) ประมาณ 0.2°C และจะเย็นกว่านี้ราว 1°C หากไม่มีภาวะโลกร้อนที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ เมื่อผิวน้ำอุ่นขึ้น อากาศด้านบนก็อุ่นขึ้น สามารถอุ้มความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งทุก ๆ 1°C ของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ทำให้อากาศเก็บความชื้นเพิ่มขึ้นถึง 7% ส่งผลให้ฝนตกหนักและพายุมีกำลังมากขึ้น
“ซาราห์ คิว” นักวิจัยภูมิอากาศจากสถาบันอุตุนิยมวิทยาเนเธอร์แลนด์ และหัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า “มรสุมเป็นเรื่องปกติสำหรับภูมิภาคนี้ สิ่งที่ไม่ปกติคือความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของพายุ และผลกระทบร้ายแรงต่อผู้คนหลายล้านชีวิต”
งานวิจัยยังชี้ว่า การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วและการทำลายป่าในวงกว้าง ทำให้ความเสียหายเลวร้ายยิ่งขึ้น นักอนุรักษ์และองค์กรสิ่งแวดล้อมเตือนเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว
“ลีฟ ค็อกส์” นักอนุรักษ์ชาวออสเตรเลียและผู้ก่อตั้ง The Orangutan Project ระบุว่า การทำลายป่าฝนเขตร้อนเพื่อทำเกษตรเชิงเดี่ยว เช่น ปาล์มน้ำมัน ทำให้พื้นที่สูญเสีย “ฟองน้ำ” ของป่าธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยชะลอน้ำ ลดทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม เมื่อไม่มีป่าซับน้ำไว้ น้ำจึงไหลบ่าทันทีและทำให้เกิดทั้งภาวะแห้งแล้งและน้ำท่วมหนักอย่างที่ภูมิภาคกำลังเผชิญอยู่
แม้ปัจจุบันมูลค่าความเสียหายยังไม่สามารถประเมินได้แน่ชัด แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับ หลายหมื่นล้านบาท จากโครงสร้างพื้นฐาน บ้านเรือน และพื้นที่เกษตรที่ถูกทำลาย
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่า ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เปราะบางด้านภูมิอากาศที่สุดในโลก กำลังเผชิญผลกระทบจากภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นทุกปี และความเสี่ยงต่อพายุรุนแรงในอนาคตจะยังคงเพิ่มขึ้นหากไม่เร่งแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
