Tourism war สมรภูมิเดือดในเอเชีย

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวและเผชิญความไม่แน่นอนสูง จากทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค และมาตรการภาษีระลอกใหม่ของสหรัฐฯ ที่กดดันทั้งภาคการผลิตและการนำเข้า-ส่งออก ทำให้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีข้อจำกัดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จึงปรับยุทธศาสตร์ของประเทศโดยให้ความสำคัญกับ “ภาคการท่องเที่ยว” มากขึ้นในฐานะอีกหนึ่งแหล่งรายได้หลักที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสามารถกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานรากในระดับท้องถิ่นได้ดีอีกด้วย
การที่หลายประเทศในเอเชียเร่งใช้นโยบายและมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้เข้าประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ประเมินสถานการณ์ดังกล่าวกำลังเข้าสู่ภาวะ “Tourism war” คือสมรภูมิการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ที่หลายประเทศเร่งใช้นโยบายและมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยว ดังนั้นท่องเที่ยวไทยต้องเร่งปรับทัพ พลิกเกมดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก
โดยในปัจจุบันสมรภูมิสงครามการท่องเที่ยวในเอเชีย หรือ Tourism war มีประเทศคู่แข่งด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, เวียดนาม, สิงคโปร์ และจีน ที่กำลังเป็นอีกหนึ่งประเทศคู่แข่งสำคัญ
SCB EIC ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน Tourism war ในเอเชียแข่งขันกันดุเดือด ซึ่งในปี 2568 ถือเป็นปีที่หลายประเทศต่างคาดหวังต่อการเติบโตของภาคท่องเที่ยวค่อนข้างสูง โดยตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวมากกว่าร้อยละ 10 เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สะท้อนถึงทิศทางเชิงรุกในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว
โดยญี่ปุ่นตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้สูงถึง 40 ล้านคนในปี 2568 ต่อยอดหลังจากทุบสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดในปี 2567 ที่ 36.9 ล้านคน ขณะที่สิงคโปร์ เวียดนามและมาเลเซีย แม้มีฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่ใหญ่มาก แต่ต่างตั้งเป้าเติบโตสูงกว่าร้อยละ 20 YoY
สำหรับไทยภาครัฐได้ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้สูงถึง 39 ล้านคนในปีนี้เช่นเดียวกัน ส่วนจีน แม้ภาครัฐจะไม่ได้ประกาศเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเป็นทางการ แต่ก็เดินหน้าออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การตั้งเป้าการเติบโตด้านการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างสูงของหลายประเทศจะนำไปสู่ Tourism war ที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในระยะข้างหน้า
SCB EIC มองสถานการณ์ Tourism war ในปัจจุบันได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวของเอเชียอย่างชัดเจน และกำลังกดดันความสามารถในการแข่งขันของไทย
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 หลายประเทศสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดีจากอัตราขยายตัวที่มากกว่าร้อยละ 10 YoY โดยเฉพาะจีนกับเวียดนาม ซึ่งยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินด้วย
ขณะที่ไทยกลับมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เป็นตามเป้าและหดตัวราวร้อยละ 8 YoY ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงราวร้อยละ 35 YoY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลด้านความปลอดภัย อีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข่งขันเชิงรุกจากหลายประเทศในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดเป้าหมายหลักให้เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศของตน
ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันแย่งชิงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มทำได้ยากขึ้น เนื่องจากแต่ละประเทศมีการทับซ้อนของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ค่อนข้างสูง โดยมีนักท่องเที่ยวจากเพียง 18 ประเทศเท่านั้นที่กระจุกตัวอยู่ใน 10 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวในทั้ง 6 ประเทศในสมรภูมิ Tourism war
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณา “ระดับการทับซ้อนของตลาดกับไทย” แล้ว พบว่าเวียดนามและสิงคโปร์ถือเป็นคู่แข่งสำคัญ โดยมีตลาดนักท่องเที่ยวหลักทับซ้อนกับไทยถึง 8 ประเทศและ 7 ประเทศตามลำดับ บ่งชี้ว่าไทยกำลังเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นในการดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงในภูมิภาค
สำหรับด้านรายได้จากภาคท่องเที่ยว ในช่วงที่ผ่านมารายได้จากการใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติในหลายประเทศอยู่ในระดับใกล้เคียงกันและมีทิศทางเพิ่มขึ้น ขณะที่ไทยยังเผชิญความท้าทายในการกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว
โดยเมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 กับปี 2562 แล้ว พบว่า การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยลดลงสวนทางกับประเทศอื่น ๆ ที่ปรับเพิ่มขึ้น จากการใช้จ่ายลดลงในด้านช็อปปิง บันเทิงและกิจกรรมการท่องเที่ยว อีกทั้ง การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อวันของไทยยังต่ำกว่าหลายประเทศ ยิ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเร่งยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวของไทยเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว พร้อมกับเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง และกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่ยินดีใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่า
สถานการณ์ Tourism war ยิ่งเข้มข้นขึ้น ทำให้แต่ละประเทศใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา แต่ละประเทศต่างเดินหน้าออกกลยุทธ์เชิงรุกมาแข่งขันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายหลักซึ่ง 6 กลยุทธ์สำคัญที่หลายประเทศนำมาใช้ได้แก่
1. การเร่งออกมาตรการพิเศษด้านวีซ่าในการเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย โดยในปีนี้หลายประเทศต่างทยอยออกมาตรการวีซ่าเพิ่มเติมเพื่อขยายตลาดนักท่องเที่ยวทั้งการยกเว้นวีซ่า และการออกวีซ่าประเภทพิเศษ ตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม 2568 เวียดนามได้ขยายเวลาการยกเว้นวีซ่าสำหรับพำนักชั่วคราวเป็นระยะเวลา 45 วันให้กับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ 10 ประเทศในยุโรป พร้อมทั้งเพิ่มรายชื่อประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าอีก 12 ประเทศในยุโรปจนถึงปี 2571 จากการตั้งเป้าเจาะตลาดยุโรปโดยเฉพาะ
ขณะที่จีนยกเว้นวีซ่าเพิ่มเติมแก่ประเทศในลาตินอเมริกาและตะวันออกกลางรวม 9 ประเทศ อีกทั้ง ยังมีโครงการยกเว้นวีซ่าสำหรับการ Transit ระยะเวลา 240 ชม. แก่ 55 ประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกกับการท่องเที่ยวระยะสั้น
ส่วนไทยเองก็ได้ใช้มาตรการวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันรัฐบาลได้ยกเว้นวีซ่า 60 วันให้แก่ 93 ประเทศ และเพิ่มวีซ่าประเภทพิเศษเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่อย่าง เช่น Destination Thailand Visa สำหรับกลุ่ม Digital Nomad และผู้เดินทางเข้ามาทำกิจกรรม Thai Soft Power เช่น การเรียนมวยไทย คอร์สอาหารไทย และยังออก Medical treatment visa ให้กับกลุ่มที่เข้ามารับการรักษาพยาบาล รวมถึงวีซ่าสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพกำลังซื้อสูงอย่าง Thailand Privilege และ Long Term resident
2. การสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว (Brand image) ที่เน้นการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากขึ้น เพื่อดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
โดยญี่ปุ่นยังรักษาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวได้ดีต่อเนื่องภายใต้สโลแกน Japan. Endless Discovery แม้จะใช้สโลแกนนี้มาตั้งแต่ปี 2553 แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังปรับและเสริมกลยุทธ์เพิ่มประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้อยากกลับมาเยือนซ้ำที่สื่อถึงความหลากหลายของประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวจะได้ค้นพบแบบไม่รู้จบ
ขณะที่ สิงคโปร์ใช้กลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ที่สื่อถึงแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้พิเศษภายใต้สโลแกน Passion Made Possible ด้วยการยกระดับแบรนด์ท้องถิ่นให้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนความเป็นเมืองสร้างสรรค์ตั้งแต่คาเฟ่/สตรีตฟูด ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์และการจัดเทศกาลร่วมสมัยด้านศิลปะ ดนตรี
สำหรับในฝั่งของไทย ได้นำเสนอภาพลักษณ์ การท่องเที่ยวผ่านสโลแกน Amazing Thailand มายาวนานด้วยการนำเสนอความมหัศจรรย์ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรมอาหาร และวิถีชีวิตแบบไทย ซึ่งในปีนี้เน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ลึกซึ้งขึ้นในคอนเซป 5 Must Do in Thailand (Must Taste : เมนูท้องถิ่น, Must Try : กิจกรรมต้องลอง, Must Buy : สินค้าอัตลักษณ์ชุมชน, Must Seek : วิวสวยจุดถ่ายภาพ และ Must See : ไลฟ์สไตล์แบบคนท้องถิ่น)
3. การใช้คอนเทนต์บนสื่อออนไลน์และพลังของอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อสร้างกระแสโพรโมตการท่องเที่ยวให้เข้าถึงคนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและยังต่อยอดเสริมภาพลักษณ์ประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง เช่น เกาหลีใต้ได้เชิญอินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติราว 2,800 คนจากเกือบ 100 ประเทศเข้ามาผลิตคอนเทนต์ถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นและโพรโมตแหล่งท่องเที่ยวตลอดทั้งปี 2568
ขณะที่ จีนเดินหน้าโครงการ Real China เชิญอินฟลูเอนเซอร์ชาวสหรัฐฯ ร่วมทริปฟรี 10 วันเพื่อสร้างคอนเทนต์สะท้อนภาพลักษณ์ประเทศในมุมมองที่เป็นจริงและทันสมัยมากขึ้น
ส่วนไทยได้เปิดตัวโครงการ Be My Guest และ Rhythm of Thailand เชิญอินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติมาทำคอนเทนต์ร่วมกับคนไทยถ่ายทอดเสน่ห์เมืองรองและวิถีท้องถิ่น พร้อมทั้งยังเชิญชวนอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนมาช่วยสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยและฟื้นความนิยมของไทยในตลาดจีนภายใต้โครงการสวัสดี หนีห่าว นอกจากนี้ ไทยเปิดตัวลิซ่า ลลิษา มโนบาลเป็น Amazing Thailand Ambassador เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
4. การร่วมกับภาคธุรกิจท่องเที่ยวในการออกแคมเพนโพรโมชัน ซึ่งครอบคลุมทั้งตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยว เพื่อสร้างแรงจูงใจและเร่งการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว
ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นเดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองผ่านความร่วมมือกับสายการบินประจำชาติอย่าง Japan Airlines นำแคมเพน JAL Japan Explorer Pass โดยเสนอโพรโมชันตั๋วเครื่องบิน เส้นทางบินภายในประเทศราคาพิเศษแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางในเส้นทางบินระหว่างประเทศเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวเมืองรอง
ส่วนไทยออกแคมเพน Go Thailand เพื่อขยายตลาดนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์ม Trip.com มอบส่วนลดสูงสุดร้อยละ 50 สำหรับโรงแรมที่พัก ตั๋วโดยสารเครื่องบิน และกิจกรรมท่องเที่ยวในทุกวันพุธจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รวมถึงกลยุทธ์ Airline Focus ในการสนับสนุนเที่ยวบินทั้งแบบประจำและเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีน
5. การยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเดิมให้มีความแปลกใหม่ ควบคู่กับการสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made destinations) เพื่อเพิ่มจุดขายใหม่ให้แข่งขันกับประเทศอื่นได้
โดยจีนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีแผนบูรณะเมืองโบราณทั่วประเทศให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ผสานแนวคิดใหม่ตามเทรนด์การท่องเที่ยว อย่างเช่น เมืองจินเฉิง มณฑลซานซีที่ฟื้นฟูหมู่บ้านโบราณกว่า 18 แห่งให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพและเวลเนส
ขณะที่ในฝั่งของไทย การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวได้ถูกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทั้งโครงสร้างพื้นฐานการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก การเพิ่มความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และการยกระดับคุณภาพการบริการ เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ที่ได้ปรับปรุงท่าเทียบเรือ จุดบริการนักท่องเที่ยว และระบบการจองออนไลน์ อีกทั้ง ไทยยังมีแหล่งท่องเที่ยว Man-made destinations แห่งใหม่ที่ทยอยเปิดตัวในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาและจะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของไทย เช่น Aqua Circus Phuket และ Jurassic World The Experience Bangkok
และ 6. การพัฒนาเครือข่ายเส้นทางการบินให้ครอบคลุมเส้นทางมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการขยายตลาดนักท่องเที่ยว ปัจจุบันการแข่งขันเพื่อพัฒนาเครือข่ายการบินระหว่างประเทศรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนได้จากข้อมูลการจัดอันดับประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อเที่ยวบินระหว่างประเทศของสนามบินทั่วโลก
โดย OAG ผู้ให้บริการข้อมูลการบินระดับโลก พบว่าในปี 2568 สนามบินหลักของหลายประเทศในสมรภูมิ Tourism war ต่างติดอันดับ Top 50 สนามบินที่มีการเชื่อมต่อเที่ยวบินมากที่สุดในโลก (Megahubs) และส่วนใหญ่มีอันดับดีขึ้นจากปี 2562 โดยสนามบินกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียขยับขึ้นจากอันดับ 12 ในปี 2562 มาอยู่ที่อันดับ 4 ของโลกสูงสุดในกลุ่ม ตามมาด้วย สนามบินอินชอนของเกาหลีใต้ และสนามบินฮาเนดะของญี่ปุ่น ที่ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 6 และ 9 ตามลำดับ ส่วนไทย สนามบินสุวรรณภูมิขยับขึ้นเล็กน้อยสู่อันดับที่ 12 จากอันดับ 14 ในปี 2562 แต่ยังตามหลังคู่แข่งหลายประเทศ
SCB EIC ระบุว่า Tourism war ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทยในระดับที่แตกต่างกันตามกลุ่มนักท่องเที่ยวและผลกระทบที่เกิดขึ้นกำลังผลักดันให้ภาคท่องเที่ยวไทยต้องเร่งปรับแผนรับมือให้ทันท่วงที โดยเมื่อพิจารณาสัญชาตินักท่องเที่ยวในสมรภูมิ Tourism war เทียบกับไทยแล้ว สามารถแบ่งตลาดตามผลกระทบจาก Tourism war ออกเป็น 3 กลุ่มโดยแต่ละกลุ่ม ภาคธุรกิจจะต้องพิจารณาวางกลยุทธ์ให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้มากขึ้น ได้แก่
1. กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไทยยังเป็นผู้นำ แต่เริ่มกระจายไปเที่ยวประเทศอื่นเพิ่มขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย, อินเดีย, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร และฟิลิปปินส์ โดยภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพบริการ ควบคู่กับการสร้างประสบการณ์ใหม่เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนซ้ำและเพิ่มการใช้จ่ายในการท่องเที่ยว
2. กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูงในหลายประเทศ แต่ยังขยายตัวไม่มากในไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น, สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และแคนาดา ซึ่งภาคธุรกิจควรเดินหน้าโพรโมตการท่องเที่ยวและสร้างจุดขายที่แตกต่างเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวที่ยังมีความต้องการเดินทางสูงเดินทางเข้าไทยมากขึ้น
3. กลุ่มนักท่องเที่ยวที่แข่งขันกันรุนแรงและไทยเผชิญกับภาวะชะลอตัว ได้แก่ จีน, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยภาคธุรกิจภายใต้ความร่วมมือกับภาครัฐ ควรใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกเพื่อกระตุ้นตลาดให้ฟื้นตัวโดยเร็วผ่านการทำโพรโมชันแบบเจาะประเทศควบคู่กับการโพรโมตการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ภาคธุรกิจควรเน้นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น 1. การสร้างแบรนด์ท่องเที่ยวที่โดดเด่นแตกต่างจากประเทศคู่แข่ง 2. การยกระดับประสบการณ์ใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวอยู่เสมอผ่านการจัดกิจกรรม อิเวนต์ หรือบริการที่สอดรับเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ และ 3. การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับเครือข่ายผู้ให้บริการท่องเที่ยวในประเทศต้นทางเพื่อผลักดันนักท่องเที่ยวเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาครัฐ มาตรการภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐมีส่วนสำคัญในการเร่งให้ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นกลับมาได้เร็วขึ้น และส่งเสริมให้เกิดการยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว เช่น การออกแคมเพนโพรโมชัน การโพรโมตการท่องเที่ยว และการยกระดับแหล่งท่องเที่ยว มาตรการเหล่าหนี้จำเป็นต้องดำเนินอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนได้ทันกับสถานการณ์เหมาะสมกับสมรภูมิ Tourism war
ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงสร้างข้อมูลด้านการท่องเที่ยวให้มีความแม่นยำ ครบถ้วน และรวดเร็ว โดยเฉพาะข้อมูลการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นจะช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจสามารถวางแผนและปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ภาครัฐควรกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศและ Brand imageในระยะยาวให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกันและสร้างขีดความสามารถของประเทศพร้อมแข่งขันในสมรภูมิ Tourism war
สุดท้าย การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการภาคการท่องเที่ยวให้ทำงานอย่างเป็นระบบและบูรณาการมากขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ไทยสามารถขับเคลื่อนการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อการแข่งขันในสมรภูมิ Tourism War รวมถึงสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
