อีอีซีจ่อหารือรัฐปลดล็อกนักลงทุนเดินทางเข้าไทย-ต้องมีใบรับรองแพทย์ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสม

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) โดยมีนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เป็นประธาน ว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) มีแนวทางผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศของไทย โดยอยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ บุคลากรทางการแพทย์ ในการจัดให้มีการตรวจและออกใบรับรองแพทย์ ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางเข้ามาไทยมีสุขภาพเหมาะสมกับการเดินทางทางอากาศ (Fit to Fly)
รวมทั้งหารือกับกระทรวงสาธารณสุข พิจารณากำหนดประเทศต้นทางและจำนวนบุคลากรที่จะอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศในแต่ละช่วงเวลา การกำหนดมาตรการกักกันให้ผู้เดินทางเข้าประเทศสามารถทำภารกิจที่จำเป็นได้ รวมถึงพิจารณาขึ้นทะเบียนสถานกักตัวทางเลือกเพิ่มเติมในพื้นที่อีอีซีที่บุคลากรในโรงพยาบาลเอกชนสามารถสื่อสารภาษากับประเทศต้นทางได้ เพื่ออำนวยความสะดวก
หลังจากบุคลากรภาคธุรกิจในพื้นที่อีอีซีจากญี่ปุ่น อาทิ หอการค้าประเทศญี่ปุ่น (JCC) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ภาคธุรกิจจากเกาหลี และประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภาคอุตสาหกรรมได้ยื่นหนังสือถึงภาครัฐเพื่อขอให้ผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ และเพื่อสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ของไทยดีขึ้น และมีแนวโน้มที่จะคลายล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คาดว่าหากรัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรนตามข้อเรียกร้องดังกล่าว จะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทยได้ง่ายขึ้น หลังจากประเมินว่า มาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ ทั้งการปิดเมืองห้ามเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย และอื่นๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ติดลบ 5% ขณะที่เม็ดเงินลงทุนหายไปกว่า 8 แสนล้านบาท โดยที่ประชุม กบอ. จะมีการพิจารณาทิศทางเศรษฐกิจและเม็ดเงินลงทุนอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป หลังจากที่รัฐบาลเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์แล้ว
“มองว่าหากรัฐบาลมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ต่างๆ เพิ่มขึ้น จะส่งผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยับได้มากกว่า 80% ซึ่งจะส่งผลดีกับภาพรวมจีดีพีในปีนี้ให้มีโอกาสติดลบได้น้อยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้” นายคณิศ กล่าว
นายคณิศ กล่าวถึงความคืบหน้าสนามบินอู่ตะเภา วงเงินลงทุน 2.9 แสนล้านบาท ว่า ในวันที่ 19 มิ.ย. นี้ จะมีการลงนามกับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส (BBS) โดยภาพรวมโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซี มีการลงทุนไปแล้วกว่า 6.5 แสนล้านบาท ประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน วงเงิน 2.4 แสนล้านบาท โครงการสนามบินอู่ตะเภา วงเงิน 2.9 แสนล้านบาท โครงการท่าเรือมาบตาพุด วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท และโครงการท่าเรือแหลมฉบับที่อยู่ระหว่างเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้ วงเงินลงทุน 1 แสนล้านบาท โดยการลงทุนในอีอีซีดำเนินการผ่านกระบวนการร่วมทุนรัฐและเอกชน (พีพีพี) ทำให้โครงการหลักในอีอีซีไม่ได้รบกวนงบประมาณของประเทศที่จะไปใช้ในการพัฒนาภาคส่วนอื่นๆ
“การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของอีอีซีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยหลักๆ ดำเนินการผ่านพีพีพีซึ่งค่อนข้างประสบความสำเร็จ ทำให้การทำโครงการหลักในอีอีซีไม่ได้รบกวนงบประมาณที่จะไปพัฒนาประเทศของภาคอื่นๆ
ขณะที่คาดว่าภาพรวมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวลง ซึ่งคงไปทำอะไรไม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คำถามว่าภาพรวมการลงทุนจะปรับขึ้นมาเมื่อไหร่ คาดว่าคงหลังจากที่เจอวัคซีนโควิด-19 ในช่วงต้นปีหน้า ดังนั้นประเทศไทยจะมีเวลา 6-9 เดือนหลังจากนี้ในการสร้างแรงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามา แม้ว่ากระบวนการลงทุนจะยังไม่ลื่นไหลจนกว่าจะเจอวัคซีน แต่ก็เพื่อช่วยรักษาทิศทางการลงทุนของประเทศ
อย่างไรก็ดี การประชุม กบอ. เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2563 รับทราบความคืบหน้า 1. การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ อีอีซี โดยให้มีการวางแผนและบริการจัดการน้ำให้เพียงพอในฤดูแล้งหน้า ปี 2563/64 เพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำ และสูบกลับน้ำเพื่อเก็บน้ำให้มากที่สุด และภาคอุตสาหกรรมควรมีแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง 2. โครงการจัดหาพนังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์) ในพื้นที่อีอีซี โดยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เสนอโครงการพลังงานที่ใช้ในเมืองใหม่ รูปแบบพลังงานอัจฉริยะ ขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าที่ใช้ในเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ จะไม่สูงกว่าราคาไฟฟ้าทั่วไปที่ กฟภ. ขายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่น
3. การจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีเป้าหมายการยกระดับรายได้เกษตรกรให้เทียบเท่ากลุ่มอุตสาหกรรมและบริการ โดยมีแนวทางในการพัฒนาภาคเกษตร คือ การใช้ความต้องการนำการผลิต 2. การยกระดับการตลาด การแปรรูป การเกษตรด้วยเทคโนโลยีทุกขึ้นตอน และ 3. การให้ความสำคัญกับ 5 คลัสเตอร์ที่มีพื้นฐานทำได้ดี เช่น ผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียนซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก พืช Bio-Based3 ประมง สมุนไพร พืชมูลค่าสูง (ปลอดสารพิษ)
บทความน่าสนใจอื่นๆ
