รู้จัก "มะพร้าวทะเล หรือ มะพร้าวแฝด" ราคาแสนแพง มีถิ่นกำเนิดจากที่ไหน?
ทำความรู้จัก "มะพร้าวทะเล หรือ มะพร้าวแฝด" ราคาแสนแพง มีลักษณะอย่างไร ถิ่นกำเนิดจากที่ไหน?
ที่สวนนงนุชพัทยา นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา จัดโชว์ลูกมะพร้าวทะเล หรือ มะพร้าวแฝด จำนวน 11 ลูกสุก มูลค่า 1,500,000 บาท พร้อมปอกเปลือกให้ชมก่อนนำไปขยายพันธุ์ ซึ่งในจำนวนนี้ มีลูกมะพร้าวแฝด จำนวน 4 ลูก คือ มีกะลา 2 ใบใน 1 ลูก
นายกัมพล เปิดเผยว่า สำหรับมะพร้าวทะเล หรือ มะพร้าวแฝด จัดเป็นปาล์มชนิดหนึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะเล็กๆในหมู่เกาะซีเซลล์ ในมหาสมุทรอินเดีย มีเมล็ดขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเมล็ดปาล์ม ส่วนมะพร้าวทะเลที่ปอกให้ชมในวันนี้ สวนนงนุชพัทยา จะนำไปปลูก 2 ต้น เพื่อขยายพันธุ์พืชและการอนุรักษ์พันธุ์ไม้หายากต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันสวนนงนุชพัทยา ถือเป็นแหล่งขยายพันธ์ุมะพร้าวทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีมะพร้าวทะเล 38 ต้น เป็นตัวผู้ 4 ต้น ตัวเมีย 9 ต้น ส่วนอีก 25 ต้น ยังไม่ทราบเพศ
สำหรับมูลค่าผลมะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด อยู่ที่ประมาณผลละ 100,000 บาท ส่วนลูกที่มีกะลา 2 ใบมีมูลค่า 200,000 บาท สวนนงนุชพัทยายัง มีพันธุ์ปาล์มต่างๆมากถึง 1,567 ชนิด และกว่า 200 ชนิด มีที่สวนนงนุชพัทยาเท่านั้น ซึ่งได้รับการรับรองจากสมาคมปาล์มนานาชาติว่ามีปาล์มมากชนิดที่สุดในโลก จากการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมปาล์มนานาชาติ (International Palm Society 1998 หรือ IPS 1998) การประชุมปาล์มนานาชาติจัดขึ้นในปี พ.ศ 2541และ พ.ศ2555
ทำไมถึงเรียกว่า มะพร้าวทะเล หรือ มะพร้าวแฝด
สาเหตุที่ถูกขนานอย่างนี้ก็เพราะว่า พวกเดินเรือในอดีตจะพบลูกมะพร้าวทะเลอยู่ในมหาสมุทร แต่ไม่มีใครเห็นพบเห็นต้นของมัน จึงสันนิษฐานว่าคงมีต้นอยู่ใต้ทะเล บ้างก็ไปไกลยิ่งกว่านั้น คือเชื่อว่าคงเป็นผลไม้จากสวรรค์แน่ๆ และอาจจะเป็นผลไม้แห่งความอมตะที่อีฟ ภรรยาอาดัม ถูกหลอกให้กินก็ได้ นานๆครั้งจะมีผู้พบเห็นมะพร้าวทะเลถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง มะพร้าวทะเลจึงกลายเป็นของแปลกและหายากยิ่งกว่าเพชรพลอย และแน่นอนผลไม้พิสดารนี้ก็จะถูกนำไปถวายให้แก่คนที่สำคัญที่สุดในแผ่นดิน นั่นคือกษัตริย์หรือสุลต่าน ไว้ประดับบารมีหรือเป็นยาวิเศษรักษาสารพัดโรค
ประวัติมะพร้าวทะเล
กษัตริย์ในมาลดีฟออกกฎว่า ผู้ใดพบเห็นมะพร้าวทะเล แล้วไม่นำไปถวายพระองค์จะถูกลงอาญาถึงขั้นประหารชีวิต มะพร้าวทะเลจะพบมากที่สุดในทะเลตามหมู่เกาะมัลดีฟ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเรียกชื่อมะพร้าวทะเลนี้ว่า มะพร้าวมัลดีฟ เช่นกัน นอกจากนี้ยังพบในทะเลแถวอารเบีย ศรีลังกา และอินเดียใต้ เกาะสุมาตรา และชายฝั่งแหลมมลายูอีกด้วย แต่เนื่องจากเจอแถวหมู่เกาะมัลดีฟมากกว่าที่อื่น จึงมีชื่อทางวิทยาศาสตร์เป็นภาษาละตินอีกว่า Lodoicea maldivica
ในอดีตราชินีแห่งโปรตุเกสเคยสั่งให้นำมะพร้าวทะเลไปถวายพระองค์บ่อยครั้ง แม้แต่กษัตริย์รูดอล์ฟก็ยังทรงเคยจ่ายทองจำนวน 4000 ฟลอรีน (ฟลอรีนละ 3.88 กรัมรวมเป็นทองหนัก 15,522 กรัม หรือประมาณ 9.4 ล้านบาท) เพื่อซื้อมะพร้าวทะเลเพียงใบเดียวจากครอบครัวของกัปตันวอลเฟิร์ท เฮอร์มันส์เซน (Wolfert Hermanszen) ชาวดัทช์ ซึ่งกัปตันคนนี้ได้รับราชทานลูกมะพร้าวทะเลนั้นจาก สุลต่านฮาโญโกรวาตี (Sultan Hanyokrowati ทรงมีพระนามเดิมว่า มัสโจลัง Mas Jolang) กษัตริย์แห่งบันตัม บนเกาะชวาตะวันตก (ครองราชย์ระหว่างปี 1601-1613 มีพระชนมายุเพียง 11 พรรษาเมื่อขึ้นครองราชย์) เนื่องจากกัปตันวอลเฟิร์ทได้ช่วยต่อสู้ เพื่อขับไล่ทัพเรือโปรตุเกสออกจากบันตัมปีค.ศ. 1602 แต่กลับต้องตกภายใต้ฮอลแลนด์ในเวลาต่อมา
ชาวมลายูในอดีตเชื่อว่า มะพร้าวทะเลมีต้นเพียงต้นเดียวอยู่ใต้ทะเล ซึ่งอยู่ในเขตทะเลใต้ ที่สะดือทะเลมีน้ำวน มียอดขึ้นเหนือน้ำ ซึ่งพญาครุฑใช้ทำรัง ต้นไม้นี้ว่านามว่าปาโอะห์ ญังกี (Pauh Janggi) แปลว่า มะม่วงญังกี ซึ่งกลายเป็นนิยายที่ใช้เล่นหนังมลายู
มีบางครั้งบางคราวที่คนเถื่อนเก็บลูกมะพร้าวทะเลได้จากฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสุมาตรา แล้วเอามาขายในเมืองปาดัง (Padang) และ ปรีอามัง (Priamang) บรรดาเจ้าชายมลายูยอมจ่ายในราคามหาศาลเพื่อให้ได้ครอบครองผลไม้วิเศษนี้ ในอินเดียเรียกมะพร้าวทะเลว่า ดัรยาย นาริยาล (แปลว่า มะพร้าวแห่งทะเล) ต่อมาเพี้ยนเป็น ญาฮารี ในสำเนียงบอมเบย์ ซึ่งแปลว่า "มีพิษ" พวกฟากีรจึงท้าทายพิษของมันด้วยการเอากะลามาทำเป็นภาชนะใส่อาหาร ชาวฮินดูในอินเดียเอามะพร้าวตั้งแท่นแล้วกราบไหว้บูชาเสมือนเป็นโยนีของเจ้าแม่
ในภาษามัลดีฟเรียกมะพร้าวทะเลนี้ว่า ตาวา กัรฮี (Tava Karhi) ซึ่งคำว่า กัรฮี แปลว่า มะพร้าว มะพร้าวทะเลนี้มีรูปร่างเหมือนมะพร้าวแฝดสองลูกติดกัน อังกฤษเรียกมะพร้าวทะเลอย่างง่ายๆว่า ดับเบิลโคโคนัท (Double coconut) แปลว่า มะพร้าวคู่ ชาวมัลดีฟใช้มะพร้าวทะเลนี้ทำเป็นอาหารและเครื่องดื่ม และเชื่อว่าเป็นยาทิพย์รักษาสารพัดโรค สามารถแก้พิษ และที่สำคัญที่สุดคือเป็นไวอากร้าของสมัยนั้น
ปัจจุบัน
มะพร้าวทะเลได้รับการกล่าวถึงในหนังสือกินเนสว่าเป็นเมล็ดผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักถึงลูกละ 20 กิโลกรัม กว่าผลจะสุกต้องใช้เวลา 7 ปี กว่าจะเติบโตออกดอกออกผลได้ต้องมีอายุ 20 - 40 ปี และมีอายุยืนถึง 400 ปี แบ่งออกเป็นเพศผู้และเพศเมีย ผลตั้งบนดินหนึ่งปีถึงจะมีรากแก้วงอกออกมาแล้วชอนไชเข้าไปในดิน มีความยาวหลายฟุต ก่อนที่จะเริ่มมีใบออกมาปีละ 1 ใบ เพศผู้มีลำต้นสูงถึง 30 เมตร ในปี ค.ศ. 1983 องค์การยูเนสโกได้ระบุให้ Valee de Mai ป่าที่มีต้นมะพร้าวทะเลขึ้น เป็นป่าสงวน
สำหรับในประเทศไทย มะพร้าวทะเลมีปลูกและครอบครองเพียงไม่กี่แห่ง ได้แก่ สวนนงนุช ที่พัทยา ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จ นับเป็นเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่สามารถทำเช่นนี้ได้ และสวนแสนปาล์ม ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และมีราคาซื้อขายที่แพงมาก เคยมีการตั้งราคาขายเฉพาะกะลาที่แห้งแล้วไม่สามารถนำไปเพาะปลูกได้ถึงลูกละ 26,000 บาท
ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวทะเล
ในอดีตผู้คนนิยมเอากะลาของมะพร้าวทะเลไปทำเป็นลูกประคำ เรียกในภาษามลายูว่า Buah tasbih koka (ลูกประคำโขะขะ) หรือแบ่งเป็นสองซีก เพื่อทำเป็นภาชนะเรียกว่า กัชกูล ซึ่งพวกฟากีรหรือพวกขอทานจะใช้เหมือนบาตร เพื่อขออาหารจากชาวบ้าน
ลูกประคำโขะขะที่ใช้ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ไม่ได้ทำมาจากลูกมะพร้าวทะเลจริง แต่ทำมาจากลูกปาล์มชนิดหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าไข่ไก่ มีกะลาหนามาก ผลิตในตุรกี อิรัก โดยส่งเข้าซีเรีย ซึ่งมีรูปแบบสวยงาม ส่วนที่ผลิตในอิยิปต์ก็มีรูปแบบที่ไม่ค่อยสวยมากนัก นักศึกษาไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียในประเทศอาหรับ จะพาลูกประคำเหล่านี้มาขายในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใครทราบว่า ลูกประคำเหล่านั้นไม่ได้ทำมาจากมะพร้าวทะเลจริง
มีความเชื่องมงายเกี่ยวกับลูกประคำโขะขะหลายอย่าง เช่น เป็นเครื่องรางของขลัง เป็นยารักษาโรค บางคนซื้อลูกปาล์มดังกล่าวจากประเทศอาหรับกลับมาเจียระไนทำเป็นลูกประคำ โดยสำคัญผิดคิดว่าเป็นลูกมะพร้าวทะเล ซึ่งพวกเขาจะเก็บขี้เลื่อยมาขายเป็นยารักษาสารพัดโรค
ที่มา ผู้สื่อข่าวชลบุรี/wikipedia
ภาพจาก ผู้สื่อข่าวชลบุรี