รีเซต

เปิดสาเหตุ ทองคำ วันนี้ราคาพุ่ง มีโอกาสแตะ 30,000 บาทหรือไม่?

เปิดสาเหตุ ทองคำ วันนี้ราคาพุ่ง มีโอกาสแตะ 30,000 บาทหรือไม่?
TNN ช่อง16
11 พฤศจิกายน 2564 ( 12:36 )
216
เปิดสาเหตุ ทองคำ วันนี้ราคาพุ่ง มีโอกาสแตะ 30,000 บาทหรือไม่?

เมื่อช่วงที่ผ่านมาบรรดานักลงทุนน่าจะเห็นแล้วว่า ทองคำ วันนี้  ปรับพุ่งขึ้นไปถึง 400 บาทต่อบาททองคำ ส่งผลให้ราคาทองรูปพรรณขึ้นไปถึง 29,200 บาทเลยทีเดียว ทำเอาหลายคนลุ้นว่าราคาทอง จะมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ถึง 30,000 ไหม? 

สิ่งที่นักลงทุนทราบกันดีก็คือ หากมีทองคำไว้ในพอร์ตจะเป็นตัวช่วยบริหารความเสี่ยงได้ ในช่วงที่หุ้นแพง ซึ่งปัจจัยระยะสั้นที่ส่งผลไปในทิศทางตรงข้ามกับราคาทองคำ หลักๆก็ได้แก่ 

1. ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้น ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เนื่องจากตลาดหุ้นเป็นสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาจึงเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม

2. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล จะพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและตลาดทุนของสหรัฐฯ หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปีปรับขึ้น ส่วนใหญ่ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งนักลงทุนประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเติบโตและอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ก็จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับลดลง เนื่องจากทองคำไม่มีผลตอบแทนอยู่ในรูปของดอกเบี้ย ดังนั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น การลงทุนในทองคำจึงถูกลดความน่าสนใจลง

3. ค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ จะมีความสัมพันธ์ในเชิงลบกับราคาทองคำโลก ซึ่งก็หมายถึง ถ้าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญของโลก เช่น เงินยูโร เงินเยน หรือพิจารณาจาก US Dollar Index ก็ได้เช่นกัน ราคาทองคำโลกจะสูงขึ้น เพราะราคาทองคำซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ทองคำจะมีราคาถูกลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นที่นักลงทุนถือไว้ จึงสร้างแรงซื้อเข้ามาดันให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนที่ทำให้ราคาทองมีทิศทางไปในเชิงบวก ก็ได้แก่ สกุลเงิน ได้แก่ 

  • สกุลเงินยูโร เงินปอนด์ เงินหยวน โดยหากค่าเงินทั้งสามสกุลนี้ปรับขึ้น ราคา ทองคำ จะปรับขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากสกุลเงินเหล่านี้จะไปกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
  • ราคาน้ำมัน เนื่องจากน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อได้ในลักษณะของ Cost Push Inflation ดังนั้น หากราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาทองคำก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ น้ำมันและทองคำยังอยู่ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะมีการปรับตัวขึ้นสอดคล้องกันกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจต่างๆ  

ภาพประกอบ :AFP

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก  เปิดเผยว่าสาเหตุที่ราคาทองคำปรับพุ่งขึ้นแรงนั้น เกิดจากดัชนีเงินเฟ้อสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นสูงว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 5% แต่มีการปรับขึ้นกว่าคาดการณ์ที่ 6.2%   ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาซื้อทองคำ  หลังจากที่ช่วงก่อนหน้านี้ราคาทองมีความผันผวนเนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของเฟด ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ ทองคำ รับรู้ข่าวลบมาพอสมควรแล้ว เมื่อมีข่าวดีเข้ามาทำให้ทองตอบสนองต่อข่าวดีมากขึ้น และที่น่าจับตาคือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงพันธบัตรผลตอบแทน ที่หากปรับตัวขึ้นจะเป็นผลลบกับทอง แต่ทองคำเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นแข็งแรง  แม้ดอลลาร์แข็งค่าแต่ราคาทองยังสามารถไปต่อได้   

อย่างไรก็ดี บล.โกลเบล็กมองว่า ทองคำ มีโอกาสปรับขึ้นได้อีก โดยมองแนวรับไว้ที่ 1,834 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากมีข่าวลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐก็คาดว่าราคาทองคำยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีโอกาสที่ทองคำในประเทศจะปรับขึ้นไปแตะ 30,000 บาทต่อบาททองคำได้ ภายในไตรมาส 1 ของปี 2565
"จากตอนนี้ไปจนถึงไตรมาส 1 ปกติทองจะขึ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงตรุษจีน เพราะฉะนั้นหากเศรษบกิจแย่ปุ๊บ แล้วคนหันกลับมาเล่นทอง ทองก็มีโอกาสที่จะขึ้นได้แล้วก็พอต้นนปีก็มีโอกาสขึ้นต่อเนื่อง  ถ้าสมมติขึ้นไปซัก 1,900 ดอลลาร์ก็น่าจะแตะ 30,000 แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปนิวไฮแถว 2,000 เหรียญฯ เพราะบาทอ่อน "นายณัฐวุฒิ กล่าว

ภาพประกอบ:TNN Online

เช่นเดียวกับบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่รายงานราคาทองคำประจำวันว่า  ราคาทองคำวานนี้ปิดทะยานขึ้น 17.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หลังจากวานนี้สหรัฐเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 6.2% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.1990 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวหนุนความคาดหวังเงินเฟ้อในอีก 5 ปี (5 year breakeven inflation rate) ให้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 3.113% ส่วนความคาดหวังเงินเฟ้อในอีก 10 ปี (10 year breakeven inflation rate) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.72% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2006 จนกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ Treasury Inflation Protected Securities (TIPS) อายุ 10 ปีและอายุ 30 ปีดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ใม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย นั่นทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นทะลุผ่านแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นระดับสูงสุดของเดือน ก.ค., ส.ค.และ ก.ย. จนกระตุ้นแรงซื้อตามทางเทคนิค (Buy stop และ Short covering) และเป็นที่มาสำคัญที่หนุนให้ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วจนทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,868.16 ดอลลาร์ต่อออนซ์


ทั้งนี้หากนักลงทุนที่รอเก็งกำไร ทองคำ อาจจะต้องติดตามข่าวสาร ปัจจัยสำคัญต่อเนื่อง โดยพรุ่งนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักก็ต่างให้ติดตามความเคลื่อนไหวของสหรัฐที่จะมีการประกาสตัวเลขการเปิดรับสมัครงานเดือนกันยายน ซึ่งเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลต่อราคาทองคำด้วย   ขณะเดียวกันก็ต้องต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบก่อนจะตัดสินใจซื้อขายในช่วงนี้  


หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


ข้อมูล: นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ,บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 

ภาพประกอบ:AFP,พีอาร์กรมการค้าภายใน,TNN Online

ข่าวที่เกี่ยวข้อง