หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ตัวแรกของโลกที่ "ตีลังกากลับหลัง" โดยไม่ใช้ระบบไฮดรอลิก
บริษัท ยูนิทรี (Unitree) ประเทศจีน เปิดตัวหุ่นยนต์ยูนิทรี เอช1 (Unitree H1) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ตัวแรกของโลกที่ตีลังกากลับหลังโดยไม่ใช้ระบบไฮดรอลิก ชูจุดเด่งระบบเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วและใช้โครงสร้างที่มีน้ำหนักเบามากกว่าหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์แบบเดิมที่มักใช้ระบบไฮดรอลิกขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน
ก่อนหน้านี้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วอาจไม่ใช่เรื่องใหม่ ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์แอตลาส (Atlas) ของบริษัท บอสตันไดนามิกส์ (Boston Dynamic) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สามารถกระโดดตีลังกากลับหลังได้อย่างน่าทึ่ง อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของหุ่นยนต์แอตลาส คือ โครงสร้างที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งตามมาด้วยต้นทุนในการพัฒนาที่สูงขึ้น
หุ่นยนต์ยูนิทรี เอช1 (Unitree H1) จากประเทศจีน ได้ทำการเปลี่ยนระบบไฮดรอลิกที่ซับซ้อนเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบข้อต่อ M107 โดยบริษัทเปิดเผยว่ามันสร้างแรงบิดได้สูงถึง 360 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นระบบมอเตอร์แบบเดียวกับที่ใช้ในหุ่นยนต์สุนัข B2 quadruped ของบริษัท ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบข้อต่อ M107 นอกจากทำให้หุ่นยนต์ยูนิทรีกระโดดตีลังกากลับหลัง ยังทำให้สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็ว 3.3 เมตรต่อวินาที และคาดว่าบริษัทเตรียมพัฒนาให้มีความเร็ว 5 เมตรต่อวินาที ในหุ่นยนต์ยูนิทรีเวอร์ชันที่วางจำหน่าย
การออกแบบพัฒนาหุ่นยนต์ยูนิทรี เอช1 (Unitree H1) โครงสร้างหุ่นยนต์มีความสูง 1.8 เมตร น้ำหนักตัว 47 กิโลกรัม สามารถยกสิ่งของน้ำหนัก 30 กิโลกรัม แม้ว่าในตอนนี้แขนของหุ่นยนต์ยูนิทรี เอช1 ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา และยังมีความซับซ้อนน้อยกว่าแขนของหุ่นยนต์ Tesla Bot และ Figure's 01 ของบริษัทเอกชนในสหรัฐอเมริกา
จุดเด่นของระบบการเคลื่อนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบข้อต่อ M107 คือ ขาทั้งสองข้างเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ โดยแบ่งออกเป็นข้อต่อ 3 ชุด คือ ระดับสะโพก หัวเข่าและข้อเท้า สายเคเบิลของระบบอยู่ภายในโครงสร้างที่มิดชิด เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว นอกจากนี้บริษัทยังใช้ระบบการจำลองการเคลื่อนไหว (Learning simulation) เพื่อให้สามารถจำลองการเคลื่อนไหวได้แบบเสมือนจริง ปรับแต่งรูปแบบโครงสร้างก่อนนำไปใช้พัฒนาหุ่นยนต์
อย่างไรก็ตาม คาดว่าหุ่นยนต์ยูนิทรี เอช1 (Unitree H1) อาจต้องใช้เวลาพัฒนาอีกประมาณ 10 ปี ก่อนวางจำหน่าย ซึ่งอาจมีราคาจำหน่ายตัวละ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่เปิดเผยแผนการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ที่มาของข้อมูล Newatlas