SFLEXออเดอร์ล้นมือ ลูกค้าหนุน-มาร์จิ้นพุ่ง
ทันหุ้น - SFLEX แย้มผลงานไตรมาส 2/64 พุ่ง ความต้องการบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภค-บริโภคขยายตัว ลูกค้าเรียงคิวยื่นออเดอร์ล็อตใหญ่ ย้ำคงเป้าหมายยอดขายปี2564 ยืนเหนือ 1,565 ล้านบาท รักษามาร์จิ้นไม่ต่ำกว่า 21%ด้านการลงทุนเวียดนามได้ข้อสรุปไม่เกินไตรมาส 3/64พร้อมเดินทางหลังปัญหาโรคระบาดโควิด-19คลี่คลาย
ดร.สมชาย วงศ์รัศมี กรรมการ บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX เปิดเผยว่า ประเมินยอดขายในช่วงไตรมาส 2/2564คาดว่าจะมีการเติบโตที่ค่อนข้างดีอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้ที่มีรายได้รวมจากการขายบรรจุภัณฑ์พลาสติดชนิดอ่อนอยู่ที่ 418.88 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายกลุ่มสินค้าอุปโภค (Non-food) จำนวน 328.12 ล้านบาท และรายได้จากการขายกลุ่มสินค้าบริโภค (Food) จำนวน 90.76 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 38.39 ล้านบาท เนื่องจากบริษํทยังคงได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากลูกค้าทั้งรายเดิมและรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
*ออเดอร์ล้นมือ
นอกจากนี้ ยังมีออเดอร์เพิ่มเติมจากลูกค้าใหม่ๆ เช่น ซองเข็มฉีดยาของบริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์จากญี่ปุ่น (NIPRO) ที่เริ่มรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1/2564อีกทั้งบริษัทยังคงเดินหน้าขยายตลาดบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยมไปสู่กลุ่ม Food และกลุ่มเครื่องมือแพทย์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสอดคล้องไปตามความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูงทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องจากปีก่อน
"ต้องยอมรับว่ากำลังการผลิตที่มีในปัจจุบันนั้นค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ใกล้เต็มประสิทธิภาพแล้ว ทำให้ออเดอร์ใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มในช่วงระหว่างนี้อาจรับเข้ามาได้อย่างไม่เต็มที่นักเพราะกำลังผลิตไม่เพียงพอ ทำให้บางออเดอร์ต้องเลือกรับผลิต รวมถึงแบ่งจ้างผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งในปีนี้คาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 270ล้านเมตรต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 215ล้านเมตรต่อปี"ดร.สมชาย กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีความมั่นใจยอดขายจาก Flexible Packaging เพิ่มขึ้นเป็น 1,560-1,565 ล้านบาท และจะยังคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่มากกว่า 21-23% และรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ไม่น้อยกว่า 9-10% ตามลำดับ จาก ณ สิ้นปี 2563ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 21.76% และ10.10%
Q3จบดีลเวียดนาม
ขณะที่การขยายการลงทุนในประเทศเวียดนามนั้น ปัจจุบันยังคงคงดำเนินการต่อ แต่ความล่าช้าที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการการแพร่ระบาดของไวรัสดควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปดำเนินการทางด้านเอกสารต่างๆ ได้ แต่ด้วยการกระจายวัคซีนต้านที่ขยายตัวเป็นวงกว้างทำให้คาดว่าบริษัทจะสามารถเดินทางเพื่อดำเนินการดังกล่าวต่อให้แล้วเสร็จได้ในช่วงไตรมาส 3/2564 อย่างรไก็ดีรูปแบบการลงทุนบริษัทอาจเป็นการแบ่งเงินทยอยซื้อหุ้น และะต้องมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ไม่น้อยกว่า 51%
ส่วนการเข้ามาถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU นั้น มองว่าจะทำให้บริษัทมีโอกาสได้รับออเดอร์ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันบริษัทได้มีการรับออเดอร์จาก TU อยู่แล้ว และอาจเห็นการร่วมมือกันทางธุรกิจเพิ่มเติมในอนาคต เบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงไตรมาส 3/2564 นี้ เช่นเดียวกัน