หมดยุคงานหนัก "เกาหลีใต้" (ทดลอง) ลดชั่วโมงทำงาน เหลือแค่ 4 วันครึ่งต่อสัปดาห์

"เกาหลีใต้" ทดลอง ลดเวลาทำงาน เหลือ 4 วันครึ่งต่อสัปดาห์
ทางการเกาหลีใต้เดินหน้าปฎิรูประบบเวลาการทำงานสู่ยุคใหม่ บอกลาการทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ไปมุ่งที่คุณภาพ ภายใต้ความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของผู้นำคนปัจจุบัน ประธานาธิบดี "อี แจ-มยอง" ที่เคยลั่นวาจาประกาศเอาไว้ว่าการปฏิรูปเวลาการทำงานเป็นประเด็นสำคัญของประเทศ
ประธานาธิบดีอี กล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า การทำงานที่สั้นลงเป็นแนวโน้มในระดับสากล และชี้ด้วยว่าที่ผ่านมาประเทศเกาหลีใต้เอาแต่แข่งขันกันที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพ และสุดท้ายแม้จะพยายามทำงานมากแค่ไหนก็ตาม กลับพบว่าประสิทธิภาพของงานลดลง แม้กระทั่งความสามารถในการแข่งขันก็ยังดิ่งลงเรื่อย ๆ ดังนั้นประธานาธิบดีอีจึงตั้งคำถามว่า เกาหลีใต้จะเดินหน้าด้วยแนวทางนี้ตลอดไปได้หรือไม่?
สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า รัฐบาลภายใต้การนำของอี แจ-มยอง มีการแผนวาง Roadmap ลดชั่วโมงทำงานให้คนในประเทศ แต่เป็นทำอย่างยังระมัดระวัง โดยไม่มีการกำหนดบังคับใช้โดยกฎหมาย เพราะกังวลว่าอาจก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบ หรือทำให้เกิดผลผลิตที่ไร้ประสิทธิภาพในบางอุตสาหกรรมได้
โดยแผนการของเกาหลีใต้ คือ กำลังพิจารณาหาแนวทางสำหรับการทำงานให้เหลือเพียงแค่ 4 วันครึ่งต่อสัปดาห์ เพื่อแก้ปัญหาชั่วโมงการทำงานที่ลากยาวนานเกินมาตรฐาน แต่ก็มีประเด็นต้องพิจารณาหลายด้าน เช่น การรักษาฐานหรือระดับค่าจ้าง ไม่ให้มีการถูกลดเงินเดือนและค่าจ้าง และการกระจายปริมาณงานให้ทันกับเวลาที่ลดลง
ดังนั้นนโยบายดังกล่าวจึงเริ่มมีการนำร่องในบางพื้นที่ก่อน จังหวัดแรกที่เริ่มตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คือ "จังหวัดคยองกี" (Gyeonggi) ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ เริ่มโครงการนำร่องระบบทำงาน 4 วันครึ่งต่อสัปดาห์ ในภาคเอกชน โดยใช้วิธีการหั่นชั่วโมงการทำงานที่ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตามมาตรฐานกฎหมายเกาหลีในปัจจุบัน และให้พนักงานหรือลูกจ้างสามารถเลือกได้ว่าจะขอทำงาน 35 ชั่วโมงต่อหนึ่งสัปดาห์ หรือทำงาน 4 วันเต็มแบบสัปดาห์เว้นสัปดาห์ หรือทำงาน 4 วันครึ่งต่อหนึ่งสัปดาห์ก็ได้ด้วย
โครงการนำร่องครั้งนี้ ครอบคลุม 67 บริษัทขนาดเล็กและกลาง และสถาบันสาธารณะ 1 แห่ง และมีแผนวิเคราะห์ผลการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของพนักงานต่อเนื่องยาวไปจนถึงปี 2570
ทางจังหวัดคยองกีหวังว่า โครงการนี้จะส่งผลดีต่อจังหวัด เพราะหากประชาชนสามารถใช้เวลาเพื่อชีวิตส่วนตัวมากขึ้น จะส่งผลดีในด้านอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น การแก้ปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลง แต่อย่างไรก็ตามการที่บริษัทเหล่านี้ยังคงต้องจ่ายเงินค่าจ้างเท่าเดิม ก็อาจเป็นการสร้างภาระให้แก่บริษัทได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว บริษัทที่อยู่ภายใต้โครงการทดลองนี้ รัฐบาลจะช่วยเหลือด้วยการจ่ายชดเชยเงินให้นายจ้างเดือนละ 260,000 วอน หรือประมาณ 187 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อต่อหัวต่อเดือน ถ้าหากสามารถลดเวลาทำงานได้ 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยได้ตั้งงบประมาณสำหรับโครงการนี้ไว้ที่ 8,000 ล้านวอน
แต่ประเด็นการจ่ายเงินชดเชยนี้ยังถือเป็นเรื่องที่เปราะบาง เพราะนักวิจารณ์บางส่วนชี้ว่า หากระบบนี้ถูกนำมาใช้ทั่วประเทศจริง แล้วต้องทุ่มงบมหาศาลลงไป อาจกลายเป็นการสร้างภาระที่หนักอึ้งต่อรัฐบาลท้องถิ่นได้
ขณะเดียวกันมีรายงานว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ในเกาหลีใต้หลายบริษัทที่ได้เริ่มทดลองระบบยืดหยุ่นแล้วเช่นกัน เช่น Samsung Electronics อนุญาตให้พนักงานหยุดทุกวันศุกร์ในสัปดาห์ที่รับเงินเดือน หากทำงานครบตามชั่วโมงที่กำหนดไปแล้วในเดือนนั้น และยังมี SK Telecom ที่ประกาศให้สัปดาห์ที่สองและสี่ของเดือนเป็น Happy Fridays อนุญาตให้พนักงานสามารถหยุดงานได้ไม่นับเป็นวันลา
ข้อมูลจากนิคเกอิ เผยว่า พนักงานชายวัย 30 กว่าปีจากบริษัทที่ใช้ระบบยืดหยุ่น ให้สัมภาษณ์ว่า การมีเวลาว่างเพิ่มขึ้นช่วยให้เขาปรับอารมณ์ได้ดีขึ้น เช่น ได้ใช้เวลาไปออกกำลังกาย หรือดูหนัง
เกาหลีใต้เป็นชาติที่มีชั่วโมงทำงานหนักที่สุดใน "เอเชีย" มีค่าเฉลี่ยสูงติดอันดับต้นๆของโลก
ข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) รายงานว่าชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อแรงงานของเกาหลีใต้ในปีที่แล้ว (2567) อยู่ที่ 1,865 ชั่วโมง มากเป็นเป็นอันดับ 6 จาก 36 ประเทศสมาชิก และยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม OECD ซึ่งอยู่ที่ 1,736 ชั่วโมง และสูงกว่าของประเทศญี่ปุ่นซึ่งชั่วโมงทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 1,617 ชั่วโมง
ค่านิยมเรื่องการทำงานหนักของคนเกาหลีใต้ คล้ายคลังกับคนญี่ปุ่น จนถึงการบัญญัติมีศัพท์เฉพาะขึ้นมานิยามสำหรับคนที่ทำงานหนักจนตัวตาย (Death by Overwork) จะถูกเรียกว่า “กวาโรซา” (과로사) เป็นคำในภาษาเกาหลีที่มีซึ่งมีความหมายใช้เรียกกรณีที่พนักงานเสียชีวิตจาก โรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน, หลอดเลือดสมองแตก, หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับการทำงานต่อเนื่องยาวนาน ความเครียดสูง และการพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากนี้กวาโรซายังถูกพูดถึงในบริบทของ อัตราการเกิดต่ำ, สุขภาพจิต, และความสมดุลระหว่างชีวิตกับงาน (Work-Life Balance)
"Work-Life Balance" ปัจจัยหลัก ในการเลือกงานของคนเกาหลีใต้ยุคใหม่
คนรุ่นใหม่ๆ ในเกาหลีใต้ต่างก็เอือมระอา กับการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ จนสมดุลชีวิตพังแบบคนสมัยก่อน โดยผลสำรวจความคิดเห็นจากสหพันธ์อุตสาหกรรมเกาหลี (FKI) เมื่อปี 2566 พบว่า คนรุ่นใหม่ ( Millennials - Generation Z) เลือกบริษัทที่เข้าไปทำงานด้วย จากการประกันด้าน Work Life Balance เป็นหลัก คือ การได้รับประกันว่าชีวิตการทำงานของพวกเค้าจะมีความสมดุลไม่หนักจนเกินไป นอกเหนือจากรายได้ที่เหมาะสม
อย่างไรก็การปฎิรูปการทำงานเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะในแง่เศรษฐกิจและสังคม สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า มีบางบริษัทที่ประกาศปรับใช้ระบบทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน แต่กลับไม่ยอมลดปริมาณงาน ทำให้พนักงานทำงานไม่ทันไม่ไหวจนต้องยอมกลับไปทำงาน 5 วันเหมือนเดิม ดังนั้นโจทย์ของรัฐบาล คือ การเพิ่มผลิตภาพแรงงานชาวเกาหลีใต้ ให้สามารถลดชั่วโมงทำงานได้ โดยที่ภาระงานยังเท่าเดิม
นอกจากนี้ภายใต้นโยบายปฎิรูปเวลาทำงานที่ว่านี้่ ยังนับเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับคนรุ่นใหม่ ให้เลิกบ้างาน หรือทำงานแต่งาน แต่หันไปแต่งงาน สร้างครอบครัว และมีลูกมากขึ้น เพื่อผลิตประชากรให้กับประเทศ จากปมที่เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดในโลกเมื่อปี 2565 จากอัตราการเกิดเพียง 0.78 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน ซึ่งปลายทางมุ่งสู่สังคมสูงวัย สวนทางกับวัยแรงงานที่ลดลง จนกลายเป็นความเสี่ยต่อเศรษฐกิจในอนาคต
ซึ่งที่ผ่านมาทางการของเกาหลีใต้ได้พยายามหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว จนทำให้ล่าสุดตัวเลขการเกิดกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 5 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา หลังจากอัตราการแต่งงานเพิ่มขึ้นในปีก่อน ผ่านมาตรการหลายด้าน และงบประมาณอีกหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งการให้เงินอุดหนุน บริการดูแลเด็ก เพิ่มวันลาคลอด และล่าสุดการลดชั่วโมงทำงานในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความหวัง กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่อยากมีลูกกันมากขึ้น