รีเซต

‘แม่ทองสุก’ มองทองคำอยู่ในช่วงปรับฐาน ถึงเวลาขาลง เชื่อเดือน ธ.ค. ดีดตัวแตะระดับสูงสุดเดิม 30,400 บาท

‘แม่ทองสุก’ มองทองคำอยู่ในช่วงปรับฐาน ถึงเวลาขาลง เชื่อเดือน ธ.ค. ดีดตัวแตะระดับสูงสุดเดิม 30,400 บาท
มติชน
28 กันยายน 2563 ( 11:18 )
230
‘แม่ทองสุก’ มองทองคำอยู่ในช่วงปรับฐาน ถึงเวลาขาลง เชื่อเดือน ธ.ค. ดีดตัวแตะระดับสูงสุดเดิม 30,400 บาท

นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำในช่วงเดือนกันยายนนี้ ราคาทองคำมีการปรับฐานลง หลังจากราคาปรับขึ้นทำจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยตั้งแต่กลางเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ราคาทองคำสปอตหลุดแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1,900 เหรียญสหรัฐ และ 1,980 เหรียญสหรัฐ ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นของทองคำเป็นขาลง ส่วนแนวโน้มขาลงนั้นจะอยู่อีกนานมากหรือน้อยเท่าใด ต้องวิเคราะห์ตามปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง โดยประเมินว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาลงในระยะสั้นนั้น อาจครอบคลุมไปถึงเดือนตุลาคมนี้ โดยยังเชื่อว่าเดือนธันวาคมนี้ จะเริ่มเห็นราคาทองคำดีดตัวกลับขึ้นมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งราคาจะเคลื่อนไหวกลับไปแตะระดับสูงสุดเดิมที่ 30,400 บาทต่อบาททองคำ โดยในเดือนมกราคม 2564 คาดว่าจะเห็นราคาทองคำสปอตแตะระดับ 2,200 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 31,800 บาทต่อบาททองคำ

 

-ทองคำ64ยังขึ้นได้ต่อ
“ทิศทางราคาทองคำในปี 2564 เชื่อว่าราคาทองคำจะทยอยปรับตัวในทิศทางขาขึ้นต่อได้ โดยปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงอีกครั้ง เป็นการค้นพบวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 และสามารถใช้รักษาหรือป้องกันเชื้อไวรัสได้ดี รวมถึงเมื่อค้นพบวัคซีนแล้วสามารถรักษาได้ดีมาก ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาทันที โดยประเมินว่าทองคำมีโอกาสปรับลดลงไปแตะระดับ 1,800 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่าราคาอาจลงไปได้ไม่มาก หรือลดลงเพิ่มได้อีกประมาณ 800 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทอยู่ที่ 27,000 บาทต่อบาททองคำ” นายแพทย์กฤชรัตน์ กล่าว

 

-3ปัจจัยดันทองพุ่งแรง
นายแพทย์กฤชรัตน์ กล่าวว่า ในช่วงที่ราคาทองคำปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรง มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ไม่สามารถควบคุมได้ 2.การผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับ 0% และ 3.มาตรการนโยบายทางการเงินในเชิงปริมาณแบบผ่อนคลาย (คิวอี) ทั้ง 3 ปัจจัย เป็นตัวดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ยังเป็นช่วงเดือนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และเป็นช่วงที่ตลาดคาดหวังว่า เมื่อเลือกตั้งแล้วเสร็จ สหรัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยหากไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา จะเป็นไปได้หรือไม่ ส่วนนี้มองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาเปิดเผยว่า หากไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เศรษฐกิจก็จะไม่สามารถฟื้นตัวได้ แต่จะเป็นการปรับตัวดีขึ้นแทน

 

-ศก.ฟื้น-ดอลลาร์แข็งกดดันราคาทอง
นายแพทย์กฤชรัตน์ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่จะกดดันให้ราคาทองคำปรับลดลงมา มี 2 ปัจจัย ได้แก่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยังย้ำว่าแม้จะปรับตัวดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้เป็นปกติ เป็นการดีขึ้นจากจุดต่ำสุด อาทิ อัตราการว่างงาน ปรับดีขึ้นมาอยู่ที่ 8% จากเดิมอยู่ในระดับ 18% แต่ตลาดรับรู้ในเชิงปรับตัวดีขึ้น รวมถึงค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้น ทำให้มีแรงเทขายออกมาในตลาดทองคำ รวมถึงเป็นช่วงที่ตลาดคาดหวังอย่างมากที่จะเห็นเฟดมีนโยบายกระตุ้นการเงินออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นเฟดมีมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งเฟดคาดว่าจะมีการกระตุ้นในภาคการเงินออกมาในช่วงเดือนธันวาคม 2563 หรือเดือนมกราคม 2564 อีกครั้ง

 

-การเมืองไร้ผลกับราคาทอง
นายแพทย์กฤชรัตน์ กล่าวว่า ด้านปัจจัยในประเทศ อาทิ การชุมนุมแสดงออกทางการเมือง มองว่าไม่มีผลใดใดต่อทิศทางราคาทองคำ แต่จะส่งผลกระทบกับค่าเงินบาทบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นว่า การเมืองจะส่งผลกระทบกับค่าเงินบาทเท่าที่ควร เพราะค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในขณะนี้ เป็นผลมาจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของปัจจัยทางเศรษฐกิจ และการแข่งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ไม่ได้เป็นผลกระทบมาจากปัจจัยความเสี่ยงทางการเมือง โดยมองว่าอัตราค่าเงินบาทควรอยู่ในระดับเหมาะสมที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพารายได้จากภาคการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูง เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา เงินบาทก็ไม่ควรที่จะมีเหตุผลใดมาสนับสนุนให้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง