“ดอกเบี้ยลด” กระทบ “สินทรัพย์” ของเราอย่างไร

หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 เบสิสพอยท์ จาก 1.75% เหลือ 1.50% ในรอบการประชุมครั้งที่ 4 ของปี 2568 ที่ผ่านมา แล้วการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ของเราอย่างไร
เราต้องทำความเข้าใจในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยกันก่อนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คือดอกเบี้ยแกนหลักของประเทศซึ่งมีหน้าที่ประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปอย่างมั่นคง ไม่ตกต่ำจนประชาชนเดือนร้อน และไม่ร้อนแรงเกินไปจนสุ่มเสี่ยง ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจคือความเร็วของรถยนต์ อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็จะทำหน้าที่คล้ายกับเบรก และคันเร่ง ที่ช่วยชะลอ และเร่งความเร็วของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ปลอดภัย
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็จะเป็นตัวสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจ ที่เมื่อเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่เติบโตช้า หรือชะลอตัว ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยผ่านธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งก็จะมีผลทั้งฝั่งของการการกู้ยืม และการฝากเงิน
เนื่องจากเมื่อดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง ในฝั่งของการ “กู้ยืม” ต้นทุนทางการเงินต่าง ๆ ก็จะปรับตัวลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ กลับมาคึกคักมากขึ้น สินเชื่อมีโอกาสขยายตัว จากการกู้ยืม การลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ฝั่งของการ “ฝากเงิน” เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากปรับตัวลดลง ก็เป็นการลดความน่าสนใจของการฝากเงินลง กระตุ้นให้เจ้าของเงินฝากอยากนำเงินไปใช้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือการลงทุนอย่างอื่นที่ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคาร
พอเราเข้าใจถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายกันไปแล้ว หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า แล้วอัตราดอกเบี้ยที่ใช้กันอยู่นี้ ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจอะไรบ้าง เพราะหลาย ๆ คนไม่เห็นว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยอะไรที่ตรงกับดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก หรือเงินกู้ หรือแม้กระทั่งผลตอบแทนจากตราสารหนี้
ต้องอธิบายว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยกลไกแล้ว นั่นก็คือ “อัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรระยะเวลา 1 วัน” หรือ 1-Day Repurchase Rate หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า 1-Day Repo Rate นั่นเอง ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยสำหรับธุรกรรมกู้ยืมระยะสั้นระหว่างสถาบันการเงิน ที่มีธนาคารแห่งประเทศไทย และมีธนาคารพาณิชย์เป็นคู่ค้าหลัก ซึ่งอัตราดอกเบี้ย 1-Day Repurchase Rate นี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะกลางด้วยเช่นกัน
กล่าวคือ เมื่อ 1-Day Repo Rate ถูกปรับลดลงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรภาครัฐ ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติ ก็จะลดลงตามไปด้วย เมื่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรลดลง ก็จะทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำมาก ลดลงไปด้วย เท่ากับเป็นการกดดันให้นักลงทุนในพันธบัตร นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทน เพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น คล้ายกับหลักการของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อเป็นการเพิ่มเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ สร้างการหมุนเวียน และเติบโตสูงขึ้น
แล้วนอกเหนือจากสินทรัพย์ที่เป็นเงินฝาก เงินกู้ และพันธบัตรรัฐบาลแล้วนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีผลต่อสินทรัพย์ลงทุนอื่น ๆ อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น อัตราแลกเปลี่ยน หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ หรือแม้แต่คริปโทเคอร์เรนชีด้วยเช่นกัน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนให้มีโอกาสอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอย่าง US Dollar เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในพันธบัตรภาครัฐไทย เมื่อผลตอบแทนต่ำลง ความน่าสนใจก็ลดลง จึงมีแนวโน้มที่จะถอนเงินลงทุนออกไปประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และเมื่อเงินบาทอ่อนลง ภาคธุรกิจส่งออกก็จะขายสินค้าได้เป็นเงินบาทมากขึ้น กำไรก็จะมากขึ้น จึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกช่องทางหนึ่ง
ในขณะที่การลงทุนในหุ้นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยมักจะสวนทางกัน คือเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ หรือสินทรัพย์ที่เป็นหนี้ ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยก็จะให้ผลตอบแทนลดลง ความน่าสนใจลงทุนก็ลดลงไปด้วย นักลงทุนจึงมองหาสินทรัพย์ลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือตราสารทุน ที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบส่วนต่างราคา และเงินปันผล ก็จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ดัชนีหลักทรัพย์ หรือราคาหุ้นก็มีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
หุ้นกู้ หรือก็คือตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยทั่วไปการกำหนดดอกเบี้ยในหุ้นกู้ก็จะพิจารณาจากความเสี่ยงต่าง ๆ ของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ซึ่งถ้ามีความเสี่ยงมาก มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ ก็จะได้รับดอกเบี้ยที่สูง แต่ปัจจัยหนึ่งที่นำมาใช้ร่วมกับการคำนวนด้วยนั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลง ดออกเบี้ยตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงในระดับเดียวกันก็จะลดลงด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าแนวโน้มของดอกเบี้ยเป็นช่วงขาลง มูลค่าตราสารหนี้ที่เราถืออยู่ในปัจจุบันจะมีมูลค่าสูงขึ้น
ทองคำ อย่างที่เราทราบกันดีว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลตอบแทนในระหว่างการถือครอง จะได้ผลตอบแทนต่อเมื่อมีการขายแล้วเกิดส่วนต่างราคาแล้วเท่านั้น หรือ “Store of Value” เพราะฉะนั้นเมื่อมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ราคาทองคำก็จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยลดลง และอีกนัยยะหนึ่ง ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ที่ใช้กระจายความเสี่ยงจากเศรษฐกิจ เมื่อมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ก็แสดงว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตที่ไม่เต็มที่ หรือชะลอตัวลง การถือครองทองคำก็จะมีความน่าสนใจมากขึ้น
และสุดท้ายคือคริปโทเคอร์เรนซี แน่นอนว่าถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงความน่าสนใจในสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำลดลงจากผลตอบแทนที่ลดลง การเข้าถือครองสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าจึงมีความน่าสนใจมากขึ้น
จะเห็นได้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลกระทบต่อเงินในกระเป๋า และสินทรัพย์ลงทุนที่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ก็ย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของต้นทุน มูลค่า และผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่เราถือครองเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เราสามารถบริหารสินทรัพย์ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
