รีเซต

ไทยยังน่าลงทุน? ต่างชาติเทเงิน 5.7 หมื่นล้านใน 4 เดือนแรกปี 2568

ไทยยังน่าลงทุน? ต่างชาติเทเงิน 5.7 หมื่นล้านใน 4 เดือนแรกปี 2568
TNN ช่อง16
2 มิถุนายน 2568 ( 12:44 )
14

ตัวเลขการลงทุนจากต่างชาติทะลุ 57,860 ล้านบาทในช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 ญี่ปุ่นนำโด่ง นักลงทุนแห่ปักหมุดใน EEC สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย


ถอดรหัสตัวเลข 5.7 หมื่นล้าน: ต่างชาติมองไทยยังน่าลงทุน?

ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยได้รับเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 57,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตดำเนินธุรกิจในไทยจำนวน 363 ราย เพิ่มขึ้นถึง 43% สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักลงทุนระดับโลก แม้เศรษฐกิจโลกจะยังเผชิญความไม่แน่นอน

การเพิ่มขึ้นทั้งในแง่จำนวนและมูลค่าการลงทุนในช่วงต้นปีนี้ เกิดขึ้นในบริบทที่รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน การที่นักลงทุนต่างชาติเพิ่มความเชื่อมั่นต่อไทย จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่บทบาท “ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค”

โครงสร้างการลงทุน ใครลงทุน อะไร และที่ไหน?

เมื่อแยกตามประเทศต้นทางของนักลงทุน พบว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง ด้วยมูลค่าลงทุนสูงถึง 17,255 ล้านบาทจากนักลงทุน 71 ราย รองลงมาคือสิงคโปร์ 9,126 ล้านบาท (45 ราย), จีน 6,471 ล้านบาท (43 ราย), ฮ่องกง 5,766 ล้านบาท (40 ราย) และสหรัฐอเมริกา 2,485 ล้านบาท (51 ราย)

ประเภทธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติ มีตั้งแต่ ธุรกิจบริการจัดหาชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าแบบอัตโนมัติ ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ และ Cloud Services ไปจนถึง ธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และการรับจ้างผลิตสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมยุคใหม่

โดยเฉพาะในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญดึงดูดการลงทุน มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามา 108 ราย คิดเป็น 30% ของทั้งหมด แต่คิดเป็นถึง 54% ของมูลค่าการลงทุนรวม นำโดยญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์ โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ชิ้นส่วนเครื่องจักร และบริการโลจิสติกส์ระดับสูง

ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่น

หนึ่งในเหตุผลที่เงินลงทุนยังหลั่งไหลเข้าไทย คือ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่ประกาศชัดเจนว่าจะเดินหน้าปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพบริการภาครัฐ และอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจอย่างจริงจัง

ความต่อเนื่องของการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า ดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐาน และเขต EEC ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่า ไทยยังเป็น “ฮับของการผลิตและบริการ” ที่มีศักยภาพในระดับภูมิภาค

อีกทั้งต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ยังแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ส่งผลให้หลายบริษัทเลือกใช้โอกาสช่วงนี้ “ปักหมุด” หรือขยายฐานการผลิตไว้ล่วงหน้า ก่อนที่นโยบายเศรษฐกิจจะออกฤทธิ์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2569-2570

ความท้าทายที่ยังต้องจับตา

แม้ภาพรวมจะดูเป็นบวก แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น

 • ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน

 • การแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่เร่งปรับตัวเพื่อดึงดูดเงินลงทุน เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย

 • ข้อจำกัดด้านนวัตกรรมและแรงงานฝีมือ ที่อาจเป็นจุดอ่อนหากไทยไม่เร่งเสริมศักยภาพในระยะยาว

รัฐบาลจึงต้องไม่เพียงดึงดูดเงินทุน แต่ต้องสร้าง “ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ” ที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยี ความยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของภาคแรงงานไทย

ไทยยังน่าลงทุนในสายตาต่างชาติหรือไม่?

ตัวเลข 57,860 ล้านบาทในช่วง 4 เดือนแรกของปี ไม่เพียงเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นดัชนีชี้วัดความมั่นใจที่ทั่วโลกมีต่อประเทศไทยในฐานะ “จุดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของภูมิภาค”

แม้จะยังมีความเสี่ยงจากภายนอก แต่หากสามารถรักษาความต่อเนื่องของนโยบาย บวกกับการเร่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรมนุษย์ ไทยก็ยังมีโอกาสก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางการลงทุน” ที่แข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน



สรุปประเด็น (300 ตัวอักษร):



Tags:



Key Values:



ที่มาภาพ: 

ที่มาของข้อมูล: TNN

ข่าวที่เกี่ยวข้อง