BKIต่อยอดความสำเร็จ ปี67ตั้งเป้าเบี้ยโต8% ทะยานสู่ 32,500 ล้านบาท
#ทันหุ้น #BKI ต่อยอดความสำเร็จพร้อมขยายสู่โอกาสใหม่ ประกาศแผนปี 2567 ตั้งเป้าเบี้ย 32,500 ล้านบาท โต8% สู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กรเติบโตแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 นี้ กรุงเทพประกันภัยได้ตั้งเป้าหมายด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 32,500 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 8.0
แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 13,690 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือ Non-Motor 18,810 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด พร้อมยกระดับนวัตกรรมการบริการให้ดียิ่งขึ้น นำมาซึ่งการสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและคู่ค้า
สำหรับแนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2567 สมาคมประกันวินาศภัยไทยประเมินว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 5.0 - 6.0 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยได้รับผลบวกจากประกันภัยสุขภาพที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ
หนี้ครัวเรือนกดดันกำลังซื้อ
ขณะเดียวกันด้านตลาดที่อยู่อาศัยแม้จะได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจนส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่ด้วยต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นผนวกกับผู้ประกอบการได้เปิดโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้สูงมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อน้อยกว่า ทำให้มูลค่าที่อยู่อาศัยต่อหน่วยที่เข้าสู่ระบบประกันภัยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังเบี้ยประกันอัคคีภัย
สำหรับประกันภัยรถยนต์นั้น แม้ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่โดยรวมจะมีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แต่ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งรถยนต์ EV มีอัตราเบี้ยประกันภัยโดยเฉลี่ยที่สูงกว่ารถยนต์ใช้เชื้อเพลิง ส่งผลให้ปริมาณเบี้ยประกันภัยรถยนต์โดยรวมน่าจะยังคงเติบโตได้
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจประกันวินาศภัยจะได้รับผลกระทบจากมูลค่าการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะหดตัวลงอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เช่นเดียวกับผลกระทบจากสงครามและความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ ซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกสินค้าที่อาจไม่สามารถเติบโตได้เท่าที่ควร จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการขนส่งสินค้าทางเรือที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางเสี่ยงภัย รวมถึงปัญหา Supply Chain Disruption ที่กระทบต่อการผลิตเพื่อการส่งออก
นอกจากนี้ ธุรกิจประกันวินาศภัยจะยังคงได้รับประโยชน์จากการที่ตลาดรับประกันภัยต่อโดยรวมมีการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยขึ้น แม้จะเป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงจากปีที่ผ่านมา และจะยังคงมีแรงกดดันจากภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงและมีความถี่สูงขึ้นจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) โดยเฉพาะภัยจากพายุฝนและน้ำท่วม ตลอดจนต้นทุนการชดใช้ค่าสินไหมทดเเทนที่ยังคงปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ตลาดเริ่มเห็นสัญญาณของอัตราเบี้ยประกันภัยที่คงที่หรือเริ่มลดลงในบาง Segment อันเป็นผลจากการที่ตลาดรับประกันภัยต่อมีกำไรจากการดำเนินงานที่ดีในปีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีมหันตภัยขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดค่าสินไหมทดแทนจำนวนมหาศาล รวมถึงการปรับเพิ่มอัตราเบี้ยประกันภัยต่อมาหลายปีติดต่อกัน
ปี66 โต12%
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า บริษัทฯ สามารถสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมได้ถึง 29,915.7 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ร้อยละ 12.1 มีกำไรจากการรับประกันภัย 2,070.1 ล้านบาท มีรายได้สุทธิจากการลงทุน 1,299.5 ล้านบาท และบริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,043.8 ล้านบาท
โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 5.50 บาท รวมทั้งปี 16.75 บาท พร้อมยืนหยัดความแข็งแกร่งทางด้านการเงินด้วยการมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยอยู่ที่ร้อยละ 185.9 (ณ 30 ก.ย. 66) และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงหรือ Credit Rating A- (Stable) (ณ พ.ย. 66) โดย Standard & Poor’s (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก
BKIH การเปลี่ยนแปลงกับโอกาสครั้งสำคัญ
BKI เดินหน้าเข้าสู่ก้าวใหม่ หลังจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างบริษัทฯ ผ่านการจัดตั้งบริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH เมื่อช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ให้มีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) โดยบริษัทฯ ได้กำหนดระยะเวลาในการแลกเปลี่ยนหุ้น “BKI” เป็นหุ้น “BKIH” ในช่วงระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 5 มิถุนายน 2567 รวมทั้งสิ้น 45 วันทำการ จากนั้นจะนำหุ้น BKIH เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทยแทนที่หุ้นของกรุงเทพประกันภัย ประมาณช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2567 โดยถือเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญในการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มความคล่องตัวในการขยายการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายและมีศักยภาพ ต่อยอดสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน