ลงทุนหุ้นปลอดภัย ชู MINT-AOT-CPN
กนง.ส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้นนโยบายชัดเจน หลังเงินเฟ้อลดลงอยู่ในกรอบเหมาะสม ทั้งยังปรับเพิ่มประมาณการนักท่องเที่ยวขึ้น หนุนเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวดีกว่าเศรษฐกิจโลก โบรกแนะจัดพอร์ตลงทุนหุ้น Defensive รับมือตลาดหุ้นผันผวน เน้นธุรกิจต้นทุนขาลง รายได้เติบโต ชี้เป้า MINT-AOT-CPN-M-TISCO-MAJOR
นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 2% ต่อปี โดยให้มีผลทันที โดยวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจปี 2566 อยู่ที่ 3.6% และปี 2567 อยู่ที่ 3.8% หนุนจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่ออัตราการจ้างงานและรายได้แรงงานที่เป็นแรงส่งต่อเนื่องในการบริโภคภาคเอกชน
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายโดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2566 จะอยู่ที่ 2.5% และ 2.4% ในปี 2567 ตามลำดับ หลังจากปัจจัยกดดันจากค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันเริ่มคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทั้งปี 2566 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 2% ซึ่งอยู่ในระดับสูงเทียบกับอดีต
ทั้งนี้ คณะกรรมการกนง.ยังคงติดตามสถานการณ์ทางการเมืองของไทยภายหลังการเลือกตั้ง เพื่อประเมินว่านโยบายที่จะดำเนินการ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานอย่างไร
“ปัจจุบันนี้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้ ยอมรับว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลกระทบต่อภาระการผ่อนส่งของลูกหนี้ทั้งรายใหญ่ และรายย่อย โดยจากปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) กระทบต่อลูกหนี้ธุรกิจประมาณ 60% ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MLR) เริ่มกระทบต่อลูกหนี้รายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน ทั้งนี้การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป จะช่วยทุกฝ่ายปรับตัวได้ในระดับหนึ่ง และกนง.มองว่าการเดินหน้าปรับโครงสร้างหนี้ยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องไป”
*แนะหุ้น Defensive
นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การแถลงของคณะกรรมการ กนง.ครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณว่าจะชะลอการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งปี 2566 นี้อย่างชัดเจน สะท้อนจาก 1.อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวในกรอบที่น่าพึงพอใจ และ 2.ความกังวลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ จนกดดันภาคการส่งออกของไทย
อย่างไรก็ตามยังคงคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2566 ที่ 3.6% หนุนจากภาคการท่องเที่ยว – การบริโภคในประเทศ ขณะที่ภาคการผลิต – การส่งออกก็มีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าประเทศภูมิภาคเอเชีย จึงแนะนำนักลงทุนพิจารณาเลือกลงทุนหุ้น Defensiveที่อิงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งยังได้รับอานิสงส์ด้านต้นทุนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง หนุนศักยภาพการทำกำไร รวมถึงมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงในการบริโภคในประเทศ
*CPALL-CPN-AOT เด่น
อาทิ CPALL, CPN, MAJOR กลุ่มท่องเที่ยว อาทิ MINT, AOTกลุ่มธุรกิจอาหาร อาทิ M, และกลุ่มธนาคาร อาทิ TISCO ซึ่งจะได้ประโยชน์จากความสามารถในการเปลี่ยนผ่านจากรถเครื่องสันดาป มาใช้รถ EV ของไทยถือเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงการย้ายฐานการลงทุนผลิตยานยนต์ EVจากจีนซึ่งจะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป