ยางพาราแนวโน้มดี กยท.มั่นใจสิ้นปีราคาพุ่งแตะ 3 หลัก

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ยืนยันแนวโน้มราคายางพารามีทิศทางที่ดีขึ้น โดย ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการ กยท. เปิดเผยว่ามาตรการปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาในอัตรา 19% ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร เนื่องจากเกษตรกรขายเป็นวัตถุดิบ ไม่เข้าข่ายถูกจัดเก็บภาษี ส่วนที่ได้รับผลกระทบคือผู้ประกอบการแปรรูป เช่น ยางล้อและถุงมือยาง แต่ประเทศผู้ส่งออกยางรายอื่นก็ถูกเก็บในอัตราใกล้เคียงกัน จึงไม่มีแรงจูงใจในการย้ายฐานการผลิต

ด้านราคายางพาราในประเทศ ปัจจุบันปรับตัวขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ โดยยางแผ่นรมควันชั้น 3 มีราคามากกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วยมากกว่า 30 บาทต่อกิโลกรัม โดยไม่ต้องใช้งบประมาณรัฐเข้าแทรกแซง ต่างจากอดีตที่เคยใช้งบกว่า 150,000 ล้านบาทเพื่อชดเชยรายได้ แต่กลับขายยางได้เพียงปีละประมาณ 250,000 ล้านบาท ทว่าด้วยกลไกตลาดใหม่ทำให้ปี 2567 มูลค่าการขายยางเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท และปี 2568 คาดว่าจะสูงกว่า 300,000 ล้านบาท

กยท. ยังผลักดันให้ใช้ราคาอ้างอิงจากตลาดในประเทศไทยมากกว่าอิงราคาต่างประเทศ เพื่อสะท้อนต้นทุนจริง พร้อมจับมือประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่อย่างไอวอรี่โคสต์ในการซื้อขายด้วยราคาอ้างอิงไทย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการงดกรีดยาง 1 เดือนและโครงการชะลอการขาย เพื่อลดปริมาณยางในตลาดกว่า 400,000 ตัน ส่งผลให้ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้น

ในส่วนการเพิ่มการใช้ยางในประเทศ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมผลักดันให้หน่วยงานรัฐใช้ยางล้อรถยนต์ “Greenergy Tyre” ที่ผลิตโดย กยท. พร้อมลงนาม MOU กับกรมชลประทานในการนำท่อยางพาราขนาดใหญ่ไปใช้แทนคลองส่งน้ำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ยางในระบบราชการได้มากขึ้น

กยท.มั่นใจว่าด้วยปัจจัยเหล่านี้ จะทำให้สิ้นปี 2568 ถึงต้นปี 2569 ราคายางพารามีเสถียรภาพและมีโอกาสสูงที่ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 จะทะลุเลข 3 หลัก