สหรัฐฯ ชู "บิตคอยน์" สินทรัพย์ยุทธศาสตร์ สวนทางจีนสั่งแบน

"เจดี แวนซ์" รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ควรใช้โอกาสจากท่าทีระวังของจีนต่อบิตคอยน์ เพื่อส่งเสริมสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ให้กลายเป็นข้อได้เปรียบด้านยุทธศาสตร์ในอนาคต
แวนซ์แสดงความเห็นดังกล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุม Bitcoin Conference ที่ลาสเวกัส โดยเน้นว่าบิตคอยน์ซึ่งเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก จะมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ท่ามกลางการผลักดันของทำเนียบขาวให้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี
ในโอกาสเดียวกัน แวนซ์ยังกล่าวถึงคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลงนามไปเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งคลังสำรองบิตคอยน์ โดยใช้เหรียญที่รัฐบาลถือครองอยู่เดิม แสดงให้เห็นถึงทิศทางการสนับสนุนคริปโทฯ ของฝ่ายบริหารชุดปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ ถือสวนทางกับนโยบายของทางการจีน ซึ่งมีจุดยืนเรื่องนโยบายควบคุมคริปโทเคอร์เรนซีอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการสั่งห้ามทั้งการซื้อขายและการทำเหมืองตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงเหตุผลเบื้องหลังท่าทีดังกล่าว
ในขณะเดียวกันตรงกันข้าม ประธานาธิบดีทรัมป์กลับแสดงความตั้งใจที่จะผลักดันคริปโทฯ อย่างชัดเจน นับตั้งแต่ช่วงหาเสียง โดยประกาศตัวว่าเป็นประธานาธิบดีสายคริปโทฯ และทันทีที่เข้ารับตำแหน่งก็มีคำสั่งให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อกำหนดแนวทางการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงเปิดทำเนียบขาวต้อนรับผู้บริหารบริษัทคริปโทฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ด้านสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ก็กำลังพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อวางกรอบกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ซึ่งเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าอ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อุตสาหกรรมคริปโทฯ เองก็ทุ่มเงินสนับสนุนการเลือกตั้งรัฐสภาสหรัฐฯ ในปี 2567 ไปแล้วกว่า 119 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อผลักดันให้ผู้สมัครที่มีแนวคิดเป็นมิตรต่อสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่สภา