รีเซต

SCB WEALTHฉายภาพลงทุนปี69 บทบาท AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

SCB WEALTHฉายภาพลงทุนปี69 บทบาท AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
ทันหุ้น
28 พฤศจิกายน 2568 ( 14:34 )

#SCB WEALTH #ทันหุ้น SCB WEALTH มองปี 2569 เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อท่ามกลางพายุลูกใหญ่ ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี AI และโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป BlackRock เผยคลื่น AI Infrastructure จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ควรมีไว้ในพอร์ตระยะยาว เพราะ AI จะเติบโตไปพร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ท่ามกลางพายุความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ตั้งแต่ความผันผวนด้านเศรษฐกิจมหภาค ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ไปจนถึงปัญหาโครงสร้างประชากร ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนส่งผลต่อแนวคิดในการบริหารความมั่งคั่งของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

*3กลยุทธ์บริหารความมั่งคั่ง

ในยุคที่โลกมีความไม่แน่นอนรอบด้าน ความมั่งคั่งไม่ได้หมายถึงเพียงมูลค่าสินทรัพย์อีกต่อไป แต่คือความสามารถในการรักษา ขยาย และส่งต่อ ความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทนี้ SCB WEALTH ตอกย้ำบทบาทการบริหารความมั่งคั่งของไทย ผ่าน 3แกนกลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) Customer Centricity การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง 2) Hyper-Personnalization การผสานพลังของทีมที่ปรึกษาการลงทุนเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อออกแบบโซลูชันการลงทุนที่เหมาะสมรายบุคคล

 และ3) Go Global การเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าถึงการลงทุนระดับโลกที่หลากหลายผ่านเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลกของธนาคาร ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมโยงกับธีม “The Storm Shift ” ยิ่งพายุรุนแรงเท่าไหร่ แสงจากประภาคารก็ยิ่งต้องสว่างมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนมุมคิดและกลยุทธ์สู่การบริหารความมั่งคั่งแบบรอบด้านและให้มั่นคงกว่าเดิม

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากมุมมองของนักลงทุน เชื่อว่า หากสามารถจับจังหวะเมกะเทรนด์โลกได้ มักจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว ซึ่งจากข้อมูลในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า ในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของเศรษกิจโลก เช่น ยุคอินเทอร์เน็ต ตลาดหุ้น Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว ขณะที่ปัจจุบันในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งทำให้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หุ้น Magnificent 7 ที่เชื่อมโยงกับ AI ได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet บริษัทแม่ของ Google, Meta ซึ่งเดิมคือ Facebook

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจโลกกว่า 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย AI กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด เราเห็นการพัฒนาของ AI ที่กำลังก้าวจาก Generative AI สู่ Agentic AI ที่ทำงานหลายภารกิจพร้อมกัน ซึ่งต้องการพลังประมวลผลและโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาล ทำให้มีความจำเป็นต้องขยายการลงทุนใน AI Infrastructure ในระดับเมืองและประเทศ ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

 ดังนั้น หากนักลงทุนกำลังมองหาโอกาสลงทุนในเมกะเทรนด์ AI นอกเหนือจากหุ้นกลุ่ม AI โดยตรงแล้ว ก็มีโอกาสลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องอีกมาก เช่น กลุ่ม AI Infrastructure ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล Cloud computing หรือโครงข่ายไฟฟ้าที่มีความจำเป็นต้องขยาย เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของดาต้า เซ็นเตอร์ ในอนาคต

Mr.George Maltezos ,Head of BlackRock Capital Formation Team (CFT) in Asia Pacific and Head of Southeast Asia Institutional Client Business กล่าวว่า แม้ตลาดทุนทั่วโลกกำลังผันผวนจากเศรษฐกิจชะลอตัว การปิดหน่วยงานรัฐในสหรัฐฯ และประเด็นการเลิกจ้างพนักงาน (Layoff) แต่สิ่งที่สะท้อนในตลาดกลับตรงกันข้ามเพราะ AI กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ทำให้นักลงทุนต้องมองข้ามปัจจัยระยะสั้น และจับเมกะเทรนด์ระยะยาวแทน โดยมี 4 Mega Forces ที่ขับเคลื่อนโลกคือ Digital & AI, Future of Finance, Energy Transition และDemographic Divergence และมองว่าการลงทุนใน AI Infrastructure ควรมีไว้ในพอร์ตระยะยาว เพราะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ถนน และ Data Center คือหัวใจการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นสินทรัพย์ที่มีรายได้สม่ำเสมอ ความผันผวนต่ำ และเติบโตไปพร้อมประเทศนั้นๆ

“AI จะเติบโตไม่ได้หากไม่มี Infrastructure ที่แข็งแรงรองรับ วันนี้คือโอกาสของนักลงทุนที่จะลงทุนตั้งแต่รากฐาน ก่อนที่คลื่นใหญ่จะเกิดเต็มรูปแบบ” Mr.George กล่าว

นายธณาพล อิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock กล่าวว่า กระแส AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งเม็ดเงินลงทุน เทคโนโลยี และจำนวนผู้ใช้งาน โดยปีนี้คาดว่าการลงทุนด้าน AI ทั่วโลกจะสูงถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจขยายตัวแตะ 3-4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า ประเทศต่างๆ จึงเร่งสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ ทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและดาต้า กลายเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง